วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

--> ความรู้คู่สุขภาพ & ความงาม (2)


ความรู้คู่สุขภาพ & ความงาม (2)


 


4 สูตรหน้าใสได้ด้วยตัวเอง  
                                 
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า 
ให้ท่านล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผล

มาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที ล้างออก 


2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส 
ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด  จากนั้นก็นำมะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำ ประมาณ 

ช้อนชาใส่ลงไป  แล้วผสมให้เข้ากัน  จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า  เว้นบริเวณรอบ
ดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10นาที แล้วล้างออก 


3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน 
นำโยเกิร์ต ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ  ประมาณ ลูก  ปั่นโยเกิร์ตกับ

มะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที 
แล้วล้างออก 


4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ 
นำโยเกิร์ต ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอก

ให้ทั่วใบหน้า  แล้วขัดถูให้ทั่ว  ขัด นาท  ทิ้งไว้อีก นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละ
ครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั้นเอง

 


10นิสัยทำร้ายสมอง 

1.ไม่ทานอาหารเช้า
การไม่ทานอาหารเช้า เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้
สมองเสื่อมได้

2.กินอาหารมากเกินไป

การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี  เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว 
เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3.การสูบบุหรี่

เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อ และเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์


4.ทานของหวานมากเกินไป
มีผลทำร้ายสมอง   เพราะการทานหวานมากไป   จะขัดขวางการดูดโปรตีนและสาร
อาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง

5.การอดนอน

คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้  ส่วนการนอนหลับ  จะทำให้
สมองได้พักผ่อน


6.มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย    การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ
เข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง ๆ

7.ขาดการใช้ความคิด

การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้น
เหตุของอาการสมองฝ่อ

8.เป็นคนไม่ค่อยพูด

ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคน
อื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร

9.นอนคลุมโปง

การนอนคลุมโปง เป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้
น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย

การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย   จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
ลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว


กระเจี๊ยบแดง-พุทราจีน ลดไข้มันในเลือด 

          สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง   ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด   ลดความดันเลือด
ลดความข้นในกรณีที่เลือดหนืด   ป้องกันเส้นเลือดเสื่อมสภาพ  ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดี
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ และลดน้ำหนัก 

          สรรพคุณพุทราจีน มีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด   ลดโอกาสเสี่ยงผนังเส้น
เลือด
แข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน 

          ขั้นตอนการทำ   กระเจี๊ยบแดง     พุทราจีน ในสัดส่วนที่เท่ากัน   จากนั้น
นำไป
ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย  เมื่อน้ำ-
ตาลทรายแดงละลายก็เป็นอันเสร็จ  สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและดื่ม
ได้ทันที หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้ 



มะขามเปียก 
            มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากัน พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะ
บริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ  ที่มีรอยกร้านดำ   และบริเวณรักแร้ 
ขาหนีบ ทิ้งไว้ประมาณ  3-5 นาทีแล้วล้างออก     เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง 
ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้   

 

5 ยอดอาหารบำรุงสมองก่อนสอบ

ปลาซาร์ดีน อุดมด้วยโอเมก้าปริมาณสูง กรดไขมัน DHA ในโอเมก้า สำคัญ
ต่อการพัฒนาสมองส่วนความจำ และการเรียนรู้ ทั้งยังพบว่า กรดไขมันชนิดนี้เป็น
ส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65%   ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเอง  แต่ได้
จากอาหารที่บริโภค เช่น ปลา นอกจากนี้การรับประทานปลาซาร์ดีนเป็นประจำยัง
สามารถลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ สำหรับเมนูแนะนำทำง่าย 
อาทิ ปลาซาร์ดีนผัดซอสมะเขือเทศ ข้าวผัดปลาซาร์ดีน พาสต้าปลาซาร์ดีน 

ไข่ ภายในบรรจุโคลีนสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์สมอง มีผลต่อประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ ซึ่งไข่แดงจัดเป็นอาหารที่ให้โคลีนมากที่สุดชนิดหนึ่ง   นอกจากนี้  ยัง
ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ด้วย

ข้าวโอ๊ต โดยฟอสฟาติดิลโคลีนที่พบในเลซิติน จะช่วยด้านความจำ  นอกจากนี้ 
ข้าวโอ๊ตยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูงไขมันต่ำ มีวิตามิน   เกลือแร่ 
และเส้นใยมาก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ

วอลนัต ประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์  รวมทั้งวิตามินบีที่ให้พลังงาน  และพัฒนา
การทำงานของสมอง    วอลนัตยังช่วยเพิ่มความสามารถของสมองจากการต้าน
สารอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลายเซลล์สมองได้

กล้วย มีวิตามินบี 6   ช่วยให้การสื่อสารระหว่างกล้ามเนื้อกับเส้นประสาทเป็นไป
ได้สะดวก     ทั้งยังช่วยให้สมองผลิตสารเซโรโทนินที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความ
วิตกกังวลได้

อย่างไรก็ตาม หากรับประทานเป็นประจำได้ยิ่งดี  มีประโยชน์    เพื่อสมองกระฉั
กระเฉง ฟิตพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทุกวัน

 

18 เคล็ดลับสุขภาพดี 


1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้

จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย  อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ
ในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหาร  ควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น  ผลไม้ 2

ชนิดนี้มีเอนไซม์   ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักได้ง่ายขึ้น   และหลังจาก
ทานเสร็จแล้ว    ควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก ชิ้น   เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่ง
จะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม   เพราะเวลาที่เราหิวร่าง
กายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา    ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำ
ให้กลายเป็นเครียด และนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อย ๆ ก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงด
ผลไม้ไป   เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่วนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูก
กักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดี   เราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึง

คืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำ
ให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวนเร   จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่
วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว 
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า  ดูอ่อนกว่าวัย  สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง

พยายามคิดในทางบวก  มองโลกในแง่ดี  หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียดเพื่อ
ไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ด  เปรี้ยว เค็ม จากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะ

สารสังเคราะห์ในพลาสติก ให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา และโดย
เฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟ   ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้อง
หลีกเลี่ยง  เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้ว    อาการไออาจจะยังไม่หายไป   แต่หลายคนมักจะไม่สน
ใจ

เพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องเล็ก ๆ    แต่ที่จริง    อาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คิด
เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส  ยาปฏิชีวนะ   ที่หมอให้มารักษาอาการหวัด
ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้     วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุด    คือการดื่มน้ำบ่อย ๆ
เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ    และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้    เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วทั้ง
ร่างกาย    ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหา   ก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน   วิธีแก้ไขคือให้นั่ง
ยอง ๆ  ทุกวัน ๆ ละ 15 นาที   จ ากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้า    และข้างหลังเพื่อ
ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น    หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่ม ๆ    แปรงผิวหนังเบา ๆ 
โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อย ๆ  ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า  น่อง   ต้นขา   ท้อง   แขนไป
จนสุดที่มือทั้งสองข้าง    (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล)  ตบ
ท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น   จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชา หรือกาแฟ  ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว   แต่ถ้าบังเอิญ
คุณเป็นโรคปวดหลัง   เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที  เพราะคาเฟอี
จะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟิน    ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะ
ต่าง ๆ   อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใคร ๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ แก้ว   แต่ต้องค่อย ๆ ดื่มไปตลอดวัน   ไม่
ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลยแล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว    เพราะการดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ
ในครั้งเดียว    อาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง    และอาจทำ
ให้เป็นตะคริว   กล้ามเนื้อเกร็งตามมา    ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมองหัวใจ   หรือ
ปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้า    จัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติ ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่

ต้องเสียเงินซื้อ   นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี    เพราะแสง
แดดอ่อน ๆ มีวิตามิน ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาต่อต้าน
อาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อน จึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัว
แต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย  
คนที่
เป็น
เบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ ฟอง  จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์  จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วย
ให้น้ำหนักลดลงปีละ  2.5 กิโลกรัม    เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็น  ร่างกายต้องใช้พลัง
งานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน    แล้วจึงนำไปใช้ได้
จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่   ทันทีที่ตื่นนอนสาว ๆ  ควรผสม

น้ำส้มสายชู    (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล)  กับน้ำผึ้ง  ในสัดส่วนเท่ากัน  ใส่น้ำอุ่นนิด
หน่อย   คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม   จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้ และการ
เผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดัง  หรือกลัวว่าจะเป็นหมัน  มะเขือเทศ

คือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้   เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก    ช่วยให้
ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี   ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่าง ๆ จึงทำงานได้เป็น
ปกติ     ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผล      หรือมากกว่านั้น
ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์  ที่สำคัญควร
จะทานแบบสุก ๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง  สปาเก็ตตี้  เพราะเวลามะเขือเทศถูก
ความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย   ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น  มะนาว
ส้ม  ส้มโอ  เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น   เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้
ท้องอืด  หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริง ๆ  ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการ
ผสมน้ำมาก ๆ 

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม    สาว ๆ ควรจะฝึกสมองด้วย

การเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ   เช่น   ปริศนาอักษรไขว้   เกมในคอมพิวเตอร์   หรือ
อาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ  อย่างเรียนดนตรี  เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะ
เกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ


 


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินเอ

แหล่งที่พบวิตามินเอ   พบมากในน้ำมันตับปลา ผักมีสีเหลือง สีส้มต่างๆ รวมไป
ถึงสีเขียวเข้ม   เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรูท

ประโยชน์ของวิตามินเอ

ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน         
ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง         
สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น    
ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำในวัยสูงอายุ     
ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์


ชวนกันไปล้างพิษ 

         คุณเคยบ้างไหม...รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นเวลายาวนาน  ไร้พลังกายใจ  ไม่สามารถ
รวบรวมสมาธิทำงานได้นาน ๆ   ซึมเศร้า   ขาดชีวิตชีวา    มีปัญหาผิวหนัง   ปวดหัว
หรือเป็นไข้บ่อย ๆ

        ร่างกายของคุณอาจกำลังสะสมพิษไว้ในตัวมากเกินไปแล้ว   อากาศที่เราหาย

ใจหรืออาหารที่เรากินเข้าไป    ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการสำคัญในการสะสมทั้งนั้น  ซึ่ง
เราจะต่อต้านมันได้ด้วยการขจัดพิษเพื่อให้ร่างกายสะอาด  สดชื่น  มีพลังเพิ่มขึ้น


อาการต่างๆที่บอกว่ามีพิษไปสะสมอยู่ที่ไหนบ้าง??


ถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่ และลำไส้เล็ก

อาการ   
มักจะท้องผูก  ท้องอืด ท้องเสีย บ่อย ๆ    ซึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ค่อยมีประ-
โยชน์  ไม่ถูกส่วน  เครียด   ใช้ยาพวกแอนตี้ไบโอติกบ่อย   ดื่มสุราเป็นประจำ   หรือ
ดื่มน้ำน้อยไป   
อาหารที่จะช่วยได้ 
คือผักใบเขียวที่มีคลอโรฟีลล์มาก ๆ หรือนมเปรี้ยวที่มีแล็กโตบาซิลลัส
         

ถ้ามีปัญหาผิวหนังต่าง ๆ
อาการ
เป็นผื่นแพ้บ่อย ๆ ลิ้นขม ปวดศีรษะ อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหนื่อยล้า นั่นแสดงว่าตับกับ
ไตทำงานหนักเกินไปแล้ว เพราะกรองของเสียเก็บไว้เยอะ 
อาหารที่จะช่วยได้
องุ่น  จะช่วยทำความสะอาดตับไตและผิวหนังได้

พิษที่สะสมในระบบทางเดินหายใจ

อาการ 
จะทำให้เป็นหวัดบ่อย ๆ  ไอ   เจ็บคอ   ต่อมทอนซิลอักเสบ  มีเซลลูไลท์  ขาดน้ำ มี
ปัญหาเรื่องผิวหนัง 
อาหารที่จะช่วยได้
กระเทียม และวิตามินซีจะช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจ

ขจัดพิษกันเถอะ

   
        การล้างพิษในร่างกาย มีวิธีการต่าง ๆ เช่นสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ หรือการอด

อาหาร และการเลือกกินอาหาร รวมทั้งการปฏิบัติตัวเพื่อการล้างพิษ  เช่น
         
        - อดอาหาร หรือดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ 2-3 วัน เช่นดื่มน้ำอ้อยผสมน้ำมะนาว หรือ

สวนด้วยกาแฟ   ไม่จำเป็นต้องดีทอกซ์ แบบ สวนกาแฟที่กำลังแพร่หลายกัน  เพราะ
บางคนอาจแพ้กาแฟ หรือไม่มีความรู้จริงเรื่องการทำ การดูแลความสะอาด ปริมาณ
ของกาแฟที่ใช้   หรือ   ถ้าน้ำกาแฟไม่อยู่ในลำไส้นานถึง 10 นาที    ก็เท่ากับเป็นการ
สวนอุจจาระเฉย ๆ    และลำไส้บางคนอาจเป็นแผล คนที่จะทำได้ต้องไม่มีโรคหัวใจ
ความดันโลหิต หรือไต

        - กินอาหารที่มีประโยชน์   เช่น  ข้าวกล้อง  ข้าวมันป  ธัญพืช   ผัก   เต้าหู้ 10 

วัน   พยายามลดเนื้อสัตว์ นม  ไข่  กะทิ  ของหวาน ร่างกายเราจะได้อาหารที่บริสุทธิ์
ไปสร้างเม็ดเลือดที่บริสุทธิ์ 10 วันที่ถ่ายออกไปก็เท่ากับขับพิษหรือของเสียออกไป
        
  
      เลือกอาหารธรรมชาติ   เลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก ๆ   เนื้อสัตว์สีแดง

เหล้าเบียร์   ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาล น้ำผึ้ง ชา กาแฟ อาหารกระป๋อง ที่แพ็กมาเป็น
ห่อ ๆ ฟาสต์ฟู้ด   หรือวางอยู่บนชั้นนานแล้ว   พวกซอสมะเขือเทศ   มายองเนส   ลด
อาหารพวกไข่ ไก่ ผลไม้   น้ำสลัด และน้ำส้มสายชู ข้าวขัดขาว

        - กินผักดิบสด ๆ ดีกว่า   เพราะจะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี โดยเฉพาะ

ผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น แครอต มะเขือเทศ บีทรูท รวมทั้งผักใบเขียวต่าง
กินเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ปรุงรสชาติและกลิ่นอาหารด้วยกระเทียม ขิง สมุนไพรต่าง
หันมากินเนื้อปลา   โดยเฉพาะพวกปลาน้ำลึก   ข้าวหรือพวกแป้งไม่ขัดขาว เช่นข้าว
กล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี  มันฝรั่ง  ลูกเดือย    ถ้าอยากกินสลัดผักควรทำเองจะดีกว่า
เพราะเราเลือกได้ว่าจะซื้อผักปลอดสารพิษมาทำ ล้างสะอาดแค่ไหนก็รู้ด้วยตัวเอง

  
     เพิ่มน้ำ   ร่างกายต้องการน้ำด้วย  ถ้ามีน้ำน้อยเกินไป ก็จะไปขอน้ำจากลำไส้

มาใช้ ซึ่งทำให้ของเสียที่อยู่ในล้ำไส้แห้งลงไป กระบวนการขับถ่ายออกจากร่างกาย
ช้าลงสารพิษก็จะถูกดูดซึมกลับสู่ร่างกายอีก

        กระตุ้นระบบทางเดินอาหาร   ด้วยการเริ่มจากน้ำอุ่น ๆ ในตอนเช้า  อาจจะ

เป็นน้ำผลไม้เช่นน้ำมะนาว ช่วงกลางวันดื่มน้ำอุณหภูมิปกติให้ได้ 6-8 แก้ว  เปลี่ยน
จากชากาแฟ เป็นชาสมุนไพรแทน

        ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มเอง   น้ำมะเขือเทศมีวิตามินซีสูง  น้ำบีทรูท   แครอท 

และเซเลอรี่ เป็นน้ำผักที่บำรุงตับ ถ้ารสชาติไม่อร่อย  เติมน้ำสับปะรด  หรือน้ำผลไม้
อื่น ๆเพื่อปรุงรสสักนิด    ไม่ควรเติมน้ำผลไม้รสหวานมากไป   หรือดื่มน้ำผลไม้มาก
กว่าวันละแก้ว เพราะว่ามีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ ดื่มน้อย ๆ ดีกว่า

  
      ออกกำลังกายบ้าง   การได้เคลื่อนไหวร่างกาย     เท่ากับช่วยการไหลเวียน

ของเลือดให้เลือดขนส่งออกซิเจนและสารอาหารที่มีคุณค่าได้ดีขึ้น และการทำงาน
ของระบบหายใจก็จะดีขึ้นด้วย

         เลือกเดินหรือจ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน แอโรบิก โยคะ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงหรือ
45นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3-5 วัน

  
       หัดหายใจ    เชื่อไหมว่าเรายังหายใจกันไม่ค่อยถูกต้อง   หัดหายใจใหม่ ถ้ายัง

หายใจตื้น ๆ สั้น ๆ อยู่ พยายามหายใจให้ยาวขึ้น และหายใจช้าๆ นับ ถึง 4   ในการ
หายใจเข้าออก ครั้ง  การหายใจเข้าลึกๆทำให้เราสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้เต็มที่
และหายใจออกยาว ๆ ก็จะช่วยการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น

        -
 ขัดผิวผ่อง   การขัดผิวนอกจากเพื่อบำรุงบำเรอความงามแล้ว ยังช่วยปรับการ

ไหลเวียนและช่วยยักย้ายถ่ายเทพิษที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ สู่กระแสเลือด  เพื่อขับถ่าย
ออกไป ใช้แปรงด้ามยาวที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ขัดผิวสัก นาทีก่อนอาบน้ำ หรือ
นานกว่านั้นเล็กน้อยก็ได้

         เริ่มจากการขัดเท้า น่อง ไปสู่ต้นขา ขัดเหนือสะโพก และขึ้นไปกลางหลังไล่ไป

ที่ต้นแขน ไปที่ไหล่ ลงไปที่อก ตรงไปสู่หัวใจ และขัดจากหลังคอลงมา  สุดท้ายก็ขัด
วนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาแถว ๆ ท้อง เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้

  
      - ล้างใจให้สะอาด  อารมณ์ที่ไม่เบิกบาน ความโกรธ เสียใจ เครียด เศร้าซึม จะ

ทำให้ร่างกายเราหลั่งสารที่มาทำร้ายตัวเราเองมากขึ้น    ระหว่างกระบวนการขจัดพิษ 
พยายามละลายอารมณ์เสีย ๆ เหล่านี้ทิ้งไปแล้ว

        เปลี่ยนวิธีคิดสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดกับจิตใจ เช่น  หัดช่วยเหลือคนอื่น ให้อภัย 
ยอมแพ้ ลองมองโลกในแง่ดี

        - ทอดสายตามองทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์  สักวันละ 15 นาที


  
  

อาการระหว่างล้างพิษ 
  
          อย่าตกใจถ้ามีอาการเหล่านี้  เช่น ปวดศีรษะ มีเม็ดสิวขึ้น  มีผื่นที่ผิวหนัง  ปวด

กล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยล้า ท้องอืด กลิ่นตัว
และลมหายใจไม่สะอาด อาการเหล่านี้เกิดเพราะร่างกายกำลังกำจัดของเสีย ออกไป 
อาการจะเป็นราว ๆ สัปดาห์แล้วค่อย ๆ หายไป


ผู้ที่ยังไม่ควรใช้วิธีล้างพิษ!!


-  เหนื่อยอ่อนล้าเพราะทำงานหนัก หรือกำลังอยู่ในช่วงเครียดจัดเกินไป ไม่สบาย 
-  เพิ่งหายไข้หายหวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต 
-  โรคเบาหวาน ตั้งครรภ์   หรืออยู่ในระหว่างการให้นม   หรืออยู่ในระหว่างการกินยา

   รักษาโรคอยู่    ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน


ข้อควรระวัง!!   


-   ถ้าใช้ช่วงเวลาในการขจัดพิษนานเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
-   การดื่มน้ำผักน้ำผลไม้ปริมาณมาก ๆ อาจจะทำให้ถ่ายท้องมากเกินไป
-   ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป  จะไปทำร้ายไตได้   นอกจากนี้ยังไปช่วย

    กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นไปอีก
-   อย่าวิตกกังวลเกินเหตุว่า ร่างกายเราได้รับพิษอันมหาศาล หรือเคร่งเครียด เอา
    เป็นเอาตายกับการขจัดพิษมากเกินไป    เพราะแทนที่ผลออกมาจะสบาย  กลับ
    ให้ผลตรงกันข้าม     ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนซีเรียส ท่องไว้เบา ๆ ว่า..."อย่าซีเรียส" 


        ****ถ้าสามารถจัดสรรเวลาให้ตัวเองอยู่ในกระบวนการขจัดพิษใน เดือน แล้ว

จะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวหนังสะอาดขึ้น ดวงตาสดใส ท้องผูกน้อยลง  น้ำหนัก
ลด อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดระดับความวิตกกังวลไปได้ดีทีเดียว 


วิธียืดตัว...ให้ตัวสูง

1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง    หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที 
(เช้า - เย็น) ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมาก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน     ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที 
(ว่ายน้ำ  วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส  เดินเร็ว  และอื่นที่มีการกระโดด) 
ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน

2. ดื่มนมวันละ แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวอุดมไปด้วย

แคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น และยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้น
หรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง      เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่
ต้องการสูงขึ้น

3. นอนเวลาประมาณ ทุ่มขึ้นไป    แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืน และนอนให้เพียง

พอ  (เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)

4. กินอาหารให้ครบ มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ หมู่


5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์    และ น้ำอัดลม บุหรี่ เพราะมีโอ

กาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน

          ถ้าคุณทำตาม ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน เดือน (30 วัน) รับรองได้ว่า

คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร(แต่ต้องทำทุกวัน)

 


9 วิธีง่าย ๆ แก้ไข ท้องผูก

    1. ดื่มน้ำเมล็ดแมงลักแช่น้ำ โดยใช้เมล็ดแมงลัก ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็ม
ที่ในน้ำเปล่า แก้ว ( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม

     2. กินมะละกอสุกประมาณ 1/4 ลูก


     3. ดื่มน้ำอุ่น 3–4 แก้ว 750–1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอน

และควรดื่มภายใน 10–15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืน  เพื่อไม่ให้รู้สึกจุก    หรือดื่ม
ตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว

     4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน  แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจาก

มีปริมาณน้ำตาลสูง

     5. ดื่มน้ำมะขามเปียกเข้มข้น ประมาณ แก้ว ดูปริมาณที่เหมาะสมกับตนเอง


     6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย 


     7. หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20–30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงาน

ได้ดีขึ้น

     8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่   โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวด  วนตาม

แนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ

     9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำ  เพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบ

ส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง   ทำให้ขับถ่าย
ได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่    แต่ถ้าเป็นชักโครก เวลานั่งให้
หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น


การลดเลือนริ้วรอย ที่สาวๆ อาจจะคาดไม่ถึง 

นอนหงาย 
          การนอนในท่าใดท่าหนึ่งเพียงท่าเดียวทุกๆ คืนจะทำให้หน้ายับ ก่อนจะกลาย

เป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนผิวหน้า    และไม่เลือนหายไปแม้ว่าคุณจะลุกขึ้นมาแล้วก็
ตาม    โดยการนอนตะแคงข้างจะเพิ่มริ้วรอยที่แก้มและคาง ขณะที่การนอนคว่ำจะ
ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผาก   ฉะนั้นเพื่อลดการก่อตัวของริ้วรอย     ควรเปลี่ยนมา
เปลี่ยนมานอนหงายแทน แม้ว่าอาจจะไม่ชินในช่วงแรก  และเผลอพลิกไปนอนใน
ท่าที่เคยชินตอนหลับไปแล้ว    แต่ก็ยังดีกว่านอนตะแคง   หรือนอนคว่ำอย่างเดียว
โดยไม่เปลี่ยนท่าเลยตลอดคืน

รับประทานปลามากขึ้น
        แนะนำให้ทานปลาแซลมอน  เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี   และยังอุดมไปด้วย

วิตามินที่ดีต่อผิว     เพราะว่ามีส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นคือ  กรดไขมันโอ
เมก้า-ซึ่งทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เด้งดึ๋ง และดูอ่อนเยาว์ รวมถึงช่วยลดเลือน
ริ้วรอยด้วย    หรือจะทานปลาสวาย ราคาไม่แพง แต่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -
ไม่แพ้ปลาชนิดอื่น

เลิกหยีตา-หาแว่นมาใส่ด่วน
        การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำๆ เช่นการหยีตา จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบ
หน้า

ต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้เกิดร่องลึกที่ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นริ้ว
รอยถาวร ฉะนั้นทำตาโตๆ กันเข้าไว้ โดยการใส่แว่นสำหรับอ่านหนังสือ (ถ้าจำเป็น
ต้องใช้ เพราะสายตาสั้น)   รวมถึงควรใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังรอบๆ ดวง
ตาไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย   และเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องหยีตาหลบแดดอีกด้วย

ผิวสวยด้วยกรดผลไม้
         เพราะกรดผลไม้ช่วยลอกเซลล์ของชั้นผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป   จึง

ช่วยลดเลือนริ้วรอยจางๆ และลึกๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยรอบๆ ดวงตา โดย
กรดผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย

เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นโกโก้
         โกโก้มีสาร ชนิด คือ เอพิคาเตซิน และคาเตซิน  ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการ

ทำร้ายของแสงแดดทำให้การหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้นช่วย
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียนมากขึ้น

อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป
         น้ำประปาจะรบกวนน้ำมันที่ผิวหนังสร้างขึ้นตามธรรมชาติ   ซึ่งช่วยปกป้องผิว

ไม่ให้เกิดริ้วรอย   ดังนั้นการล้างหน้าบ่อยๆ  จะล้างสิ่งที่ปกป้องผิวหนังออกไป  ควร
เลือกสบู่ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปกป้องผิว  หรือคลีนเซอร์แทน

ใช้วิตามินซีชนิดทา
       ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tulane และผลการศึกษาจากที่อื่นพบว่า วิตามิน

ซีสมารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีเอและยูวี
บี ทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอลดลง รวมถึงทำให้ภาวะผิวหนังอักเสบมีอาการดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิตามินซีที่ใช้ด้วย ปัจจุบันพบว่า กรดแอล-เอสคอร์บิก สามารถลด
ริ้วรอยได้มากที่สุด

กินถั่วเหลืองมากขึ้น
        ถั่วเหลืองช่วยปกป้องหรือเยียวยาผิวที่ถูกแสงแดดทำร้ายได้   อาหารเสริมที่มีถั่ว

เหลืองเป็นส่วนประกอบพื้นฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิตามินต่างๆ โปรตีนจากปลา  และสาร
สกัดจากชาขาว เมล็ดองุ่น และมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบด้วย ช่วยทำให้โครงสร้าง
ของผิวดีขึ้นภายใน เดือน

ดูแลผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้อง 
        ถ้าคุณต้องการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์  ควรเริ่มต้นการดูแลอย่างถูกต้อง  ด้วยวิธี

ที่คุณอาจจะเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยทำเลย ดังนี้
        หลีกเลี่ยงแสงแดด
        - ทาครีมกันแดด
        - ไม่สูบบุหรี่
        - บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์




มือใหม่หัดเขียน (คิ้ว)

สำหรับวิธีเขียนแบบดินสอ   เริ่มจากเลือกสีดินสอที่อ่อนกว่าสีผม ระดับ สีดำเดี๋ยว
นี้ก็มีดำหลายระดับ   เลือกสีไม่เข้มมากจะปลอดภัยที่สุด    

สำหรับการเขียน   ให้เริ่มเขียนจากกึ่งกลางคิ้วก่อน   เพราะส่วนที่เข้มที่สุดของคิ้วจะ
เป็นส่วนหาง  ให้สาวๆค่อยระบายตามรูปคิ้วของเราไปเรื่อย ๆ  ให้หางเรียวแหลมไป
เรื่อย ๆ   และวาดออกมาจากหางคิ้วเดิมเล็กน้อย   โดยวัดจากให้ดินสอวางไปบนใบ
หน้าให้มุมปาก- หางตาอยู่ในเส้นเดียวกัน  แล้วเราจะได้จุดที่ต้องวาดคิ้วให้ยาวออก
มา   จนถึงจุดที่อยู่ในแนวเดียวกับมุมปากและหางตา    ส่วนหัวคิ้ว  ให้วาดอย่างเบา
มือไปตามรูปคิ้ว    โดยควรให้ระยะห่างระหว่างคิ้วซ้ายและขวา    พอดีกับสันจมูกไม่
ชิดและไม่ห่างมากกว่าหัวตาและที่สำคัญ  ต้องดูให้คิ้วทั้งสองข้าง มีรูปทรงที่เหมือน
กันและอยู่ในระดับเดียวกัน

ไข้ร่วมด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น