วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

CIIIIIIIIII> การเดินทาง (2)


รูปภาพ : ท่านเคยได้ยินคำว่า Functional Medicine ไหมครับ ตอนนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของวงการแพทย์อเมริกาที่กำลังฮิต ผมบังเอิญมาปักกิ่งได้พบกับแพทย์ชาวจีนที่เป็นลูกศิษย์ของหมออเมริกันที่ดูแลสุขภาพให้ทั้งประธานาธิบดีโอบาม่า และประธานาธิบดีคลินตั้น เขาใช้วิธีการ Functional Medicine นี้นั่นเอง

หลักการก็คือเขามีความเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วน ถ้าทำงานร่วมกันได้ดีไม่มากไปไม่น้อยไป ก็จะทำให้ร่างกายกลับมามีความสมดุลและก็จะแข็งแรง โรคเล็กโรคน้อยก็จะหายไปอย่างปลิดทิ้ง โดยอาศัยการค้นพบ DNA ของมนุษย์แล้ววิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถึงความบกพร่องในการทำงานของมันแล้วให้ยาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไข หมอจีนคนนี้ก็เลยเจาะเลือดผมไปเป็นสิบหลอดพร้อมปัสสวะ ส่งไปตรวจ Lab ที่สหรัฐอเมริกา จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็จะวิเคราะห์กลับมาพร้อมบอกว่าจะต้องทานยาอะไร งด/เพิ่มอาหารหมวดไหน ร่างกายเราก็จะทำงานได้เหมือนคนอายุน้อยกว่าอายุจริง ที่เมืองไทยก็มีการทำเช่นนี้แล้ว แต่ก็ต้องส่งไปตรวจ Lab ที่อเมริกาเช่นกัน

ที่ผมพูดให้ฟังก็อยากจะให้ทุกคนได้รู้จักรักษาร่างกายตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปให้ดีขึ้น และมากกว่านั้นคือผมอยากจะพูดถึงวิชาการบริหารองค์กรและแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ (Paradigm Shift) ที่เปลี่ยนจากวิธีคิดที่เป็นไปตามวิวัฒนาการตามที่ Alvin Toffler เคยพูดไว้เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วในหนังสือ The Third Wave คือยุคเกษตร มาสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและยุคสังคมข่าวสาร ซึ่งวิธีคิดก็จะเปลี่ยนตาม ช้า/เร็วแล้วแต่สาขาวิชาและประเทศ 

Functional Medicine ก็เป็นการเปลี่ยนความคิดที่มองปัญหาเป็นจุดๆเหมือนยุคอุตสาหกรรม มาเป็นยุคการมองแบบองค์รวมของการทำงานร่วมกันของอวัยวะภายในร่างกายหรือองค์กรเดียวกันนั่นเอง ไม่แยกส่วน การแก้ปัญหาก็จะง่ายเพราะมองปัญหาได้ในภาพรวม วางยุทธศาสตร์ วิธีคิดและวิธีการศึกษา วิธีการบริหารองค์กร 

โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ยังล้าหลังอยู่มาก ยังมองปัญหาแยกส่วน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น หรือองค์กรอิสระ ศาล รัฐบาล สภาฯ ซึ่งประเทศต้นแบบที่เราไปเรียนมาเขาก็ไม่เป็นแบบเรา ประเทศไทยจึงขาดการมียุทธศาสตร์ชาติที่เป็นการมองประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวม การแก้ปัญหาก็ยังไม่เข้าใจ คำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือเราไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั่นเอง

(11 พฤษภาคม 2556)

ท่านเคยได้ยินคำว่า Functional Medicine ไหมครับ  ตอนนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุด
ของวงการแพทย์อเมริกาที่กำลังฮิต   ผมบังเอิญมาปักกิ่งได้พบกับแพทย์ชาวจีนที่เป็น
ลูกศิษย์ของหมออเมริกันที่ดูแลสุขภาพให้ทั้งประธานาธิบดีโอบาม่า และประธานาธิบดี
คลินตั้น เขาใช้วิธีการ Functional Medicine นี้นั่นเอง

หลักการก็คือเขามีความเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วน   ถ้าทำงานร่วมกันได้ดีไม่มากไปไม่น้อย

ไป ก็จะทำให้ร่างกายกลับมามีความสมดุลและก็จะแข็งแรง   โรคเล็กโรคน้อยก็จะหาย
ไปอย่างปลิดทิ้ง   โดยอาศัยการค้นพบ DNA ของมนุษย์แล้ววิเคราะห์ได้อย่างละเอียด
ถึงความบกพร่องในการทำงานของมัน แล้วให้ยาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไข  หมอจีนคนนี้ก็
เลยเจาะเลือดผมไปเป็นสิบหลอดพร้อมปัสสวะ  ส่งไปตรวจ Lab ที่สหรัฐอเมริกา จะใช้
เวลาประมาณ 3สัปดาห์ ก็จะวิเคราะห์กลับมาพร้อมบอกว่าจะต้องทานยาอะไร งด/เพิ่ม
อาหารหมวดไหน ร่างกายเราก็จะทำงานได้เหมือนคนอายุน้อยกว่าอายุจริงที่เมืองไทย
ก็มีการทำเช่นนี้แล้ว แต่ก็ต้องส่งไปตรวจ Lab ที่อเมริกาเช่นกัน

ที่ผมพูดให้ฟัง ก็อยากจะให้ทุกคนได้รู้จักรักษาร่างกายตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปให้ดี

ขึ้น   และมากกว่านั้นคือผมอยากจะพูดถึงวิชาการบริหารองค์กร    และแนวคิดที่เปลี่ยน
แปลงไปของมนุษย์ (Paradigm Shift)  ที่เปลี่ยนจากวิธีคิดที่เป็นไปตามวิวัฒนาการตาม
ที่ Alvin Toffler  เคยพูดไว้เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วในหนังสือ The Third Wave  คือ
ยุคเกษตร  มาสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและยุคสังคมข่าวสาร ซึ่งวิธีคิดก็จะเปลี่ยนตาม ช้า
เร็วแล้วแต่สาขาวิชาและประเทศ

Functional Medicine ก็เป็นการเปลี่ยนความคิดที่มองปัญหาเป็นจุดๆ เหมือนยุคอุตสาห

กรรม    มาเป็นยุคการมองแบบองค์รวมของการทำงานร่วมกันของอวัยวะภายในร่างกาย
หรือองค์กรเดียวกันนั่นเอง   ไม่แยกส่วน   การแก้ปัญหาก็จะง่ายเพราะมองปัญหาได้ใน
ภาพรวม วางยุทธศาสตร์ วิธีคิดและวิธีการศึกษา วิธีการบริหารองค์กร

โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปัจจุบันยังล้าหลังอยู่มาก   ยังมองปัญหาแยกส่วน  เช่น  ธนาคาร

แห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ เป็นต้น   หรือองค์กรอิสระ ศาล รัฐบาล สภาฯ ซึ่งประเทศต้นแบบที่เราไปเรียน
มาเขาก็ไม่เป็นแบบเรา  ประเทศไทยจึงขาดการมียุทธศาสตร์ชาติที่เป็นการมองประเทศ
ไทยอย่างเป็นองค์รวม การแก้ปัญหาก็ยังไม่เข้าใจคำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือเรา
ไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั่นเอง

---------------------------------------------------

รูปภาพ : ผมกลับมาถึงดูไบเช้านี้ก็มาดูข่าว บังเอิญมีข่าว 2 ข่าวไล่เลี่ยกัน ข่าวแรกก็คือการแห่รถฉลองตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2013 ของ Man United มีแฟนๆของ Man United ออกมาแสดงความยินดีตลอดเส้นทางอย่างมีความสุข ซึ่งผมก็ขอแสดงความยินดีถึงแฟน Man United ที่เมืองไทยทุกคนด้วยครับ 

เสร็จแล้วก็มีอีกข่าวหนึ่งคือการปลด Roberto Mancini ออกจากผู้จัดการของ Man City เขาก็ตัดภาพการฉลองที่เมือง Manchester เช่นกันของทีม Man City ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2012 หรือปีที่แล้ว แฟน Man City ก็ออกมาชื่นชมจำนวนมากด้วยความสุข ที่น่าสังเกตคือไม่มีแฟนฝั่งตรงข้ามของทั้งสองทีมออกมาแสดงความโห่ฮาหรือไม่พอใจอะไร ทั้งๆที่อยู่เมืองเดียวกันและแข่งกันทุกปี แฟนใครแฟนมัน ทำให้ผมคิดถึงระดับภาวะจิตใจของคน ประเพณี มารยาทสังคม ความมีน้ำใจนักกีฬา การรู้จักเคารพกติกาของผู้คน น่านับถือมากครับ ทำให้ผมมาหวนคิดว่าทำไม ก็ตอบได้บางส่วนว่าการรู้จักเคารพกติกา แพ้เป็นแพ้ชนะเป็นชนะ กรรมการและผู้จัดการแข่งขันมีกติกาที่เปิดเผยชัดเจนแทบจะไม่มีประเด็นให้ตีความด้วยความรู้สึก ทุกคนก็รักษาความเป็นธรรม สังคมจึงไม่มีใครกล้าพิเรนทร์ออกมาเพราะจะเป็นตัวประหลาด

ย้อนกลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สิ่งที่เกิดขึ้นคือการโกหก ความไม่ชัดเจนของกติกา กติกาต้องตีความตลอดเวลา มีคนตั้งคำถามกับทุกข้อของกติกาตีความตามใจชอบ กรรมการไม่ยอมรักษาความเป็นกลาง เป็นธรรม ไม่ตัดสินบนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริงและกฎหมายที่มีอยู่ ตัดสินตามอารมณ์แห่งใครพวกใคร บางทีก็ตามธง นักการเมืองที่ไม่สามารถชนะได้ตามกติกา ก็อาศัยจุดด้อยเหล่านี้ของสังคมไทยปัจจุบัน ความแตกแยกนอกจากจบไม่ลงแล้วทำท่าจะแย่ลง 

เราส่วนใหญ่ชอบดูบอลอังกฤษโดยเฉพาะพรีเมียร์ลีก น่าจะเอาปรัชญาของกีฬามาใช้บ้างก็จะเป็นประโยชน์ วันนี้แพ้ก็ไปฟิตใหม่ วางแผนใหม่ ปีหน้าก็อาจชนะได้ Man United ชนะแล้วชนะอีก เขาไม่เห็นต้องยุบสโมสร Man United เลยครับ บางช่วง Chelsea ฟิตขึ้นมาก็ชนะหลายครั้ง ก็ไม่ถูกยุบสโมสรเหมือนกันทั้งๆที่เจ้าของ Chelsea เป็นรัสเซีย เจ้าของ Man United เป็นสหรัฐ 

คำเดียวครับ เคารพกติกา มีน้ำใจนักกีฬาครับ ไทยเจริญแน่

(14 พฤษภาคม 2556)

ผมกลับมาถึงดูไบเช้านี้ก็มาดูข่าว บังเอิญมีข่าว 2 ข่าวไล่เลี่ยกัน ข่าวแรกก็คือการแห่รถ
ฉลองตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2013 ของ Man United   มีแฟนๆของ Man United
ออกมาแสดงความยินดีตลอดเส้นทางอย่างมีความสุข    ซึ่งผมก็ขอแสดงความยินดีถึง
แฟน Man United ที่เมืองไทยทุกคนด้วยครับ 

เสร็จแล้วก็มีอีกข่าวหนึ่งคือการปลด Roberto Mancini ออกจากผู้จัดการของ Man City
เขาก็ตัดภาพการฉลองที่เมือง Manchester เช่นกัน ของทีม Man City  ที่ได้แชมป์พรี-
เมียร์ลีกปี 2012  หรือปีที่แล้ว แฟน Man City  ก็ออกมาชื่นชมจำนวนมากด้วยความสุข
ที่น่าสังเกตคือไม่มีแฟนฝั่งตรงข้ามของทั้งสองทีมออกมาแสดงความโห่ฮาหรือไม่พอใจ
อะไร   ทั้งๆที่อยู่เมืองเดียวกันและแข่งกันทุกปี  แฟนใครแฟนมัน  ทำให้ผมคิดถึงระดับ
ภาวะจิตใจของคน ประเพณี  มารยาทสังคม  ความมีน้ำใจนักกีฬา  การรู้จักเคารพกติกา
ของผู้คน น่านับถือมากครับ   ทำให้ผมมาหวนคิดว่าทำไม   ก็ตอบได้บางส่วนว่าการรู้จัก
เคารพกติกา แพ้เป็นแพ้ชนะเป็นชนะ  กรรมการและผู้จัดการแข่งขันมีกติกาที่เปิดเผยชัด
เจนแทบจะไม่มีประเด็นให้ตีความด้วยความรู้สึก  ทุกคนก็รักษาความเป็นธรรม  สังคมจึง
ไม่มีใครกล้าพิเรนทร์ออกมาเพราะจะเป็นตัวประหลาด

ย้อนกลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สิ่งที่เกิดขึ้นคือการโกหก  ความไม่ชัดเจนของ

กติกา กติกาต้องตีความตลอดเวลามีคนตั้งคำถามกับทุกข้อของกติกาตีความตามใจชอบ
กรรมการไม่ยอมรักษาความเป็นกลาง เป็นธรรม  ไม่ตัดสินบนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริงและ
กฎหมายที่มีอยู่ ตัดสินตามอารมณ์แห่งใครพวกใคร บางทีก็ตามธง นักการเมืองที่ไม่สา-
มารถชนะได้ตามกติกาก็อาศัยจุดด้อยเหล่านี้ของสังคมไทยปัจจุบัน ความแตกแยกนอก
จากจบไม่ลงแล้วทำท่าจะแย่ลง

เราส่วนใหญ่ชอบดูบอลอังกฤษ  โดยเฉพาะพรีเมียร์ลีก   น่าจะเอาปรัชญาของกีฬามาใช้

บ้างก็จะเป็นประโยชน์ วันนี้แพ้ก็ไปฟิตใหม่วางแผนใหม่ ปีหน้าก็อาจชนะได้ Man United
ชนะแล้วชนะอีก   เขาไม่เห็นต้องยุบสโมสร Man United เลยครับ บางช่วง Chelsea ฟิต
ขึ้นมาก็ชนะหลายครั้งก็ไม่ถูกยุบสโมสรเหมือนกันทั้งๆที่เจ้าของ Chelsea เป็นรัสเซีย เจ้า
ของ Man United เป็นสหรัฐ

คำเดียวครับ เคารพกติกา มีน้ำใจนักกีฬาครับ ไทยเจริญแน่


--------------------------------------------------

รูปภาพ : เมื่อวานนี้ ญี่ปุ่นประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาสที่1ของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ว่า GDP โตถึง 3.5% นับเป็นการโตที่มากสำหรับญี่ปุ่น เพราะเศรษฐกิจแย่มานาน ค่อนข้างชัดว่า ผลการเติบโตส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนโยบายของท่านนายกฯ อาเบะ ที่ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงกว่า 20% รวมทั้งพิมพ์ธนบัตรออกใช้มากขึ้นมาก 

ที่เขาทำได้ก็เพราะธนาคารกลาง(หรือแบงค์ชาติ)ของญี่ปุ่นขึ้นตรงกับรัฐบาล เขาจึงสามารถทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม (Holistic Approach) โดยประธานนโยบายการเงิน (Monetary Policy) กับนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนครับญี่ปุ่นยังต้องมีอีกหลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งกว่านี้ 

ที่สำคัญโครงสร้างการบริหารประเทศของญี่ปุ่นเขาเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาถือว่าประชาชนมีอำนาจสูงสุด เมื่อประชาชนเลือกใครเข้ามาก็ให้โอกาสทำงานเต็มฝีมือ ถ้าทำไม่ดีประชาชนก็ไม่เลือกกลับมาอีก แต่ของเรายังเป็นประชาธิปไตยแบบแค่นๆ คือไม่เต็มใจให้เป็น จึงเกิดความหวาดระแวงตัวแทนอำนาจประชาชน โดยใช้วิธีแยกอำนาจออกเป็นส่วนๆแทนจนคุยกันไม่ได้ วางยุทธศาสตร์ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งผลเสียก็ตกกับประเทศชาติและประชาชน 

อย่างกรณีธนาคารแห่งประเทศไทยของเราก็มีกฎหมายของรัฐบาลช่วงรัฐประหารแยกตัวเองออกมา จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งทำให้ดูน่าวิตกเพราะต่างคนต่างใช้นโยบายของตน มีความเชื่อของตน ตอนนี้เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างมากจนน่าวิตก มูลค่าทางตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รวมกันโตกว่า GDP ประเทศ จึงมีคำถามว่าเกิด Asset Pricing Bubble หรือไม่ แล้วเราจะมีมาตรการอะไรร่วมกันไหมระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย ผมเป็นห่วงครับ ถ้ามองแค่ปัจจุบันกับอนาคตสั้นๆภายในปีเดียว ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าคิดยาวคิดไปล่วงหน้า 2-3 ปี อันตรายครับ 

สิ่งที่กังวลก็คือ เรามีคนดี คนมีความรู้และการศึกษาสูงมาก แต่เป็นพวกมี Knowledge แต่มี Wisdom ไม่พอ จะรู้ไม่เท่าทันโลกทุนนิยม ที่หนักกว่านั้นคือ พวก Wisdom ไม่พอดันขยันพูดอีกต่างหาก 

ประเทศไทยเรา GDP ส่วนใหญ่มาจาก Export (ส่งออก) ซึ่งมีทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร บาทแข็งขึ้น 1 บาท GDP จะหายไปประมาณ 0.7% รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินลงสู่รากหญ้า และเพิ่มงบลงทุนของรัฐบาล เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน ถ้านโยบายการคลังถูกใช้เยอะเกินไปก็อันตราย เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินต้องช่วยไม่ใช่เป็นภาระแบบนี้ 

ตอนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 2537-2538 ผมก็เห็นสัญญาณไม่ดีหลายอย่าง เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นกรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งร่วมกับรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีคลัง 

ผมได้เตือนธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลังทุกครั้งในที่ประชุมแต่ก็ได้รับการชี้แจงแก้ตัวตลอดเวลา จนมาถึงเศรษฐกิจพังตอนปี 2540 ผมเป็นคนชอบดูดัชนีต่างๆและชอบตกใจล่วงหน้า เหมือนที่ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel คือนาย Andrew Grove พูดว่า 

During the crisis only the paranoid survive ครับ

(17 พฤษภาคม 2556)

เมื่อวานนี้  ญี่ปุ่นประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาสที่1ของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ว่า GDP 
โตถึง 3.5% นับเป็นการโตที่มากสำหรับญี่ปุ่นเพราะเศรษฐกิจแย่มานาน ค่อนข้างชัดว่า
ผลการเติบโตส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนโยบายของท่านนายกฯ อาเบะ  ที่ทำให้ค่าเงินเยน
อ่อนลงกว่า 20% รวมทั้งพิมพ์ธนบัตรออกใช้มากขึ้นมาก

ที่เขาทำได้ก็เพราะธนาคารกลาง (หรือแบงค์ชาติ) ของญี่ปุ่นขึ้นตรงกับรัฐบาล เขาจึงสา

มารถทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม (Holistic Approach) โดยประธานนโย-
บายการเงิน (Monetary Policy) กับนโยบายการคลัง (Fiscal Policy)ได้เป็นอย่างดี แต่
แน่นอนครับญี่ปุ่นยังต้องมีอีกหลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งกว่านี้ 

ที่สำคัญ  โครงสร้างการบริหารประเทศของญี่ปุ่นเขาเป็นประชาธิปไตยจริงๆ    เขาถือว่า

ประชาชนมีอำนาจสูงสุด  เมื่อประชาชนเลือกใครเข้ามาก็ให้โอกาสทำงานเต็มฝีมือ  ถ้า
ทำไม่ดีประชาชนก็ไม่เลือกกลับมาอีก   แต่ของเรายังเป็นประชาธิปไตยแบบแค่นๆ  คือ
ไม่เต็มใจให้เป็นจึงเกิดความหวาดระแวงตัวแทนอำนาจประชาชน โดยใช้วิธีแยกอำนาจ
ออกเป็นส่วนๆแทนจนคุยกันไม่ได้    วางยุทธศาสตร์ร่วมกันไม่ได้    ซึ่งผลเสียก็ตกกับ
ประเทศชาติและประชาชน

อย่างกรณีธนาคารแห่งประเทศไทยของเรา  ก็มีกฎหมายของรัฐบาลช่วงรัฐประหารแยก

ตัวเองออกมา จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งทำให้ดูน่าวิตกเพราะต่างคนต่างใช้นโยบายของตน มี
ความเชื่อของตน ตอนนี้เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างมากจนน่าวิตกมูลค่าทาง
ตลาด (Market Capitalization)  ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์     รวมกันโตกว่า GDP
ประเทศ   จึงมีคำถามว่าเกิด Asset Pricing Bubble หรือไม่   แล้วเราจะมีมาตรการอะไร
ร่วมกันไหมระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย ผมเป็นห่วงครับถ้ามอง
แค่ปัจจุบันกับอนาคตสั้นๆ ภายในปีเดียว   ก็ไม่ต้องคิดมาก  แต่ถ้าคิดยาวคิดไปล่วงหน้า
2-3 ปี อันตรายครับ

สิ่งที่กังวลก็คือ  เรามีคนดี  คนมีความรู้และการศึกษาสูงมาก  แต่เป็นพวกมี Knowledge

แต่มี Wisdom ไม่พอ  จะรู้ไม่เท่าทันโลกทุนนิยม  ที่หนักกว่านั้นคือ พวก Wisdom ไม่
พอดันขยันพูดอีกต่างหาก

ประเทศไทยเรา GDP ส่วนใหญ่มาจาก Export (ส่งออก)ซึ่งมีทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและ

สินค้าเกษตร บาทแข็งขึ้น 1 บาท GDP จะหายไปประมาณ 0.7%  รัฐบาลจึงจำเป็นต้อง
ใช้นโยบายอัดฉีดเงินลงสู่รากหญ้า   และเพิ่มงบลงทุนของรัฐบาล เช่น โครงการ 2 ล้าน
ล้าน ถ้านโยบายการคลังถูกใช้เยอะเกินไปก็อันตราย   เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินต้อง
ช่วยไม่ใช่เป็นภาระแบบนี้

ตอนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 2537 - 2538   ผมก็เห็นสัญญาณไม่ดีหลายอย่าง

เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นกรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนา-
คารแห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งร่วมกับรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีคลัง

ผมได้เตือนธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลังทุกครั้งในที่ประชุม  แต่ก็ได้รับ

การชี้แจงแก้ตัวตลอดเวลา จนมาถึงเศรษฐกิจพังตอนปี 2540 ผมเป็นคนชอบดูดัชนีต่างๆ
และชอบตกใจล่วงหน้า   เหมือนที่ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel  คือนาย Andrew Grove  พูดว่า 

During the crisis only the paranoid survive ครับ


---------------------------------------------------

รูปภาพ : วันนี้ไปรับแขกที่โรงแรม Kempinski ที่ดูไบครับ โรงแรมกำลังซ่อมแซมบริเวณ Lobby จึงมีการกั้นและตกแต่งไว้ไม่ให้ดูน่าเกลียด มีเสียงของการตอกตะปูบ้าง ผมเหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่ผนังกั้นการซ่อมแซมที่เขียนว่า "What you hear are the sounds of change." ผมเลยเข้าไปถ่ายรูปมาให้พี่น้องดู มันช่างเป็นความคิดสร้างสรรค์ เป็นการประดิษฐ์คำได้สร้างสรรค์มากครับ

แทนที่เราจะรำคาญเสียง เขากลับบอกว่ามันเป็นเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับ มันทำให้เราจินตนาการในทางสร้างสรรค์ตามเขาทันทีว่า ทนเอานะอีกไม่นานจะมีการทำให้ Lobby นี้สวยขึ้น สะดวกในการใช้งานมากขึ้น ผมกำลังจะบอกว่าประเทศหรือผู้คนที่มีอารยธรรมเขาจะใช้สมองด้านขวามองโลกในแง่ดี สร้างสรรค์สังคมให้มีความรู้สึกดีๆต่อกัน มีจินตนาการในทางที่ดี แต่ถ้าใช้สมองข้างซ้ายมากเกินไปก็จะเกิดการมองโลกในแง่ร้าย ให้ร้ายคนอื่น ชวนคนอื่นจินตนาการไปในทางเลวร้าย สังคมแตกแยก ไม่ไว้ใจกัน มีแต่ประดิษฐ์คำที่ใส่ร้ายป้ายสีทำร้ายคนอื่นตลอดเวลา อันนี้เป็นอันตรายถ่วงความเจริญของสังคมและบ้านเมืองครับ

(18 พฤษภาคม 2556)

วันนี้ไปรับแขกที่โรงแรม Kempinski ที่ดูไบครับ  โรงแรมกำลังซ่อมแซมบริเวณ Lobby
จึงมีการกั้นและตกแต่งไว้ไม่ให้ดูน่าเกลียด มีเสียงของการตอกตะปูบ้าง  ผมเหลือบไป
เห็นตัวหนังสือที่ผนังกั้นการซ่อมแซมที่เขียนว่า"What you hear are the sounds of
change." ผมเลยเข้าไปถ่ายรูปมาให้พี่น้องดู  มันช่างเป็นความคิดสร้างสรรค์  เป็นการ
ประดิษฐ์คำได้สร้างสรรค์มากครับ

แทนที่เราจะรำคาญเสียงเขากลับบอกว่ามันเป็นเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับ

มันทำให้เราจินตนาการในทางสร้างสรรค์ตามเขาทันทีว่า   ทนเอานะอีกไม่นานจะมีการ
ทำให้ Lobby นี้สวยขึ้น  สะดวกในการใช้งานมากขึ้น  ผมกำลังจะบอกว่าประเทศหรือผู้
คนที่มีอารยธรรมเขาจะใช้สมองด้านขวามองโลกในแง่ดี สร้างสรรค์สังคมให้มีความรู้สึก
ดีๆต่อกัน   มีจินตนาการในทางที่ดี  แต่ถ้าใช้สมองข้างซ้ายมากเกินไปก็จะเกิดการมอง
โลกในแง่ร้าย ให้ร้ายคนอื่น ชวนคนอื่นจินตนาการไปในทางเลวร้าย สังคมแตกแยก ไม่
ไว้ใจกัน  มีแต่ประดิษฐ์คำที่ใส่ร้ายป้ายสีทำร้ายคนอื่นตลอดเวลา  อันนี้เป็นอันตรายถ่วง
ความเจริญของสังคมและบ้านเมืองครับ

-------------------------------------------------

รูปภาพ : สวัสดีประเทศไทยครับ

วันนี้ผมอยู่ที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเรื่องราวเล่าให้ฟังสงสัยจะยาวหน่อย เพราะเป็นเมืองที่เป็นความทรงจำที่มีความหมายกับชีวิตของผมหลายเรื่อง 

เรื่องแรกที่อยากจะเล่าก็คือ ถ้าผมจำไม่ผิด ราวๆ วันที่ 6 ตุลาคม ปี 2537 (1994) ผมได้รับเชิญมาพูดในงานของบริษัท Lehman Brothers ให้นักลงทุนของบริษัทนี้ฟัง มีผู้พูดที่สำคัญหลายคน คนหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ Mr.Carlos Slim ซึ่งเป็นคน Mexico 

ขณะนั้นเขาเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโทรคมนาคมที่ Mexico ผมเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจนี้ที่ประเทศไทย ขนาดของธุรกิจและความรวยก็พอกัน เพราะ Forbes magazine ปี 1993 ประเมินว่าผมมีเงินและหลักทรัพย์รวมกันในขณะนั้นประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ พอๆ กับนาย Carlos Slim 

สิ่งที่อยากเล่าก็คือชีวิตที่เปลี่ยนไปของผม คือผมกลับไปเป็น รมต. ต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่ Mr.Carlos หลังจากเจอกันแล้ว แกกลับไปขยายกิจการไปยังอีกหลายประเทศ จนถึงทุกวันนี้ แกรวยอันดับ Top 5 ของโลก แต่ผมติดกับอยู่ในการเมือง ถูกยึดทรัพย์ที่หามา จนไปเยอะ 

ถามว่าผมเสียใจไหม คงไม่ เพราะอดีตเอาคืนไม่ได้ แต่ผมภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติและช่วยคนจำนวนมากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะรวยมากก็ไม่ได้ใช้อะไรมาก พรุ่งนี้จะเล่าต่อว่ารวยมากดีแต่มันเป็นอย่างไร และเกี่ยวกับนิวยอร์คอีกเช่นกัน

(11 มิถุนายน 2556)

สวัสดีประเทศไทยครับ

วันนี้ผมอยู่ที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเรื่องราวเล่าให้ฟังสงสัยจะยาวหน่อยเพราะ
เป็นเมืองที่เป็นความทรงจำที่มีความหมายกับชีวิตของผมหลายเรื่อง 

เรื่องแรกที่อยากจะเล่าก็คือ ถ้าผมจำไม่ผิด ราวๆ วันที่ 6 ตุลาคม ปี 2537 (1994) ผมได้
รับเชิญมาพูดในงานของบริษัท Lehman Brothers ให้นักลงทุนของบริษัทนี้ฟัง มีผู้พูดที่
สำคัญหลายคน คนหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ Mr.Carlos Slim ซึ่งเป็นคน Mexico

ขณะนั้นเขาเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโทรคมนาคมที่ Mexico   ผมเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจนี้ที่ประเทศ

ไทย ขนาดของธุรกิจและความรวยก็พอกัน  เพราะ Forbes magazine ปี 1993 ประเมิน
ว่าผมมีเงินและหลักทรัพย์รวมกันในขณะนั้นประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ พอๆ กับ
นาย Carlos Slim

สิ่งที่อยากเล่าก็คือชีวิตที่เปลี่ยนไปของผม คือผมกลับไปเป็น รมต. ต่างประเทศในเดือน

พฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่ Mr.Carlos หลังจากเจอกันแล้ว แกกลับไปขยายกิจการไปยัง
อีกหลายประเทศ   จนถึงทุกวันนี้ แกรวยอันดับ Top 5 ของโลก  แต่ผมติดกับอยู่ในการ
เมือง ถูกยึดทรัพย์ที่หามา จนไปเยอะ

ถามว่าผมเสียใจไหม คงไม่ เพราะอดีตเอาคืนไม่ได้ แต่ผมภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติและช่วย

คนจำนวนมากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น  เพราะรวยมากก็ไม่ได้ใช้อะไรมาก  พรุ่งนี้จะเล่าต่อว่ารวย
มากดีแต่มันเป็นอย่างไร และเกี่ยวกับนิวยอร์คอีกเช่นกัน

--------------------------------------------------

รูปภาพ : ขอคุยต่อเรื่องนิวยอร์คครับ

ผมก็อยากจะเล่าอดีต ประมาณปี 2534 ตอนนั้นผมเริ่มมีเงินฝากธนาคารเป็นของครอบครัวไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทหลังจากเอาหุ้นบริษัทชินวัตร (Shin Corporation) เข้าตลาดได้ปีเศษ ก็เลยอยากจะรู้ว่าคนรวยเขาใช้เงินกันอย่างไรก็เลยมาเที่ยวนิวยอร์ค พกเงินสด (สมัยก่อนไม่ห้าม) เป็นเงินสหรัฐ 100,000 เหรียญก็ประมาณ 3,000,000 บาท โดยอยากรู้ว่า จะขอใช้ให้หมดภายในวันเดียวซิ จะรู้สึกอย่างไร เพราะผมไม่ชอบเล่นการพนันและใจไม่ถึง

ผมพกเป็นเงินสดเดินอยู่บนถนน 5th Avenue ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านแพงของโลกอยู่เต็ม 2 ข้างทาง ผมเดินตั้งแต่เช้ายันเย็น จากร้านเปิดจนร้านปิด ก็เพื่อตั้งใจที่จะใช้ให้หมดทั้ง 100,000 เหรียญ โดยทำตัวให้ฟุ่มเฟือยสุดๆ แต่ในที่สุดไปเห็นอะไรก็มีแล้ว จะซื้อฝากลูกเมียก็ซื้อได้ไม่กี่อย่าง เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรในที่สุดก็ใช้เงินไปประมาณ 30,000 กว่าเหรียญ ก็ประมาณ 1 ล้านบาทเท่ากับ 1 ใน 3 เท่านั้น

ที่ผมเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นความทรงจำที่มานิวยอร์คว่าอยากจะทำตัวบ้าๆเหมือนคนที่เขารวยมากๆ เพราะตอนนั้นถือว่าผมเป็นเศรษฐีใหม่ ในที่สุดก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่เสียสติ เงินทองมีมากก็แค่นั้น เพราะวันๆไม่ได้ใช้อะไร ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานแล้วยิ่งไม่รู้จะใช้ทำอะไร ความโลภจึงไมใช่สิ่งที่ดี การหาเงินของคนทำธุรกิจมันก็เป็นเพียงการขยายกิจการเพื่อรักษาสถานภาพขององค์กรและของพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ 

ชีวิตผมมันเคยเห็นนรกและสวรรค์ในชาติเดียวกันมา 2 รอบแล้ว เคยลำบากทางการเงินขนาดต้องขึ้นศาลผลัดหนี้มาจนมีเงินหลายหมื่นล้านบาท และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีจากการชนะการเลือกตั้ง มาจนถึงต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศเพราะถูกทหารทำรัฐประหาร ก็เลยเข้าใจสัจธรรมของชีวิตดีและอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการบริหารชีวิตของแต่ละท่านครับ

(12 มิถุนายน 2556)

ขอคุยต่อเรื่องนิวยอร์คครับ

ผมก็อยากจะเล่าอดีตประมาณปี 2534 ตอนนั้นผมเริ่มมีเงินฝากธนาคารเป็นของครอบครัว
ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทหลังจากเอาหุ้นบริษัทชินวัตร (Shin Corporation) เข้าตลาด
ได้ปีเศษ ก็เลยอยากจะรู้ว่าคนรวยเขาใช้เงินกันอย่างไรก็เลยมาเที่ยวนิวยอร์ค  พกเงินสด
(สมัยก่อนไม่ห้าม) เป็นเงินสหรัฐ 100,000 เหรียญก็ประมาณ 3,000,000 บาทโดยอยาก
รู้ว่า จะขอใช้ให้หมดภายในวันเดียวซิ จะรู้สึกอย่างไร   เพราะผมไม่ชอบเล่นการพนันและ
ใจไม่ถึง

ผมพกเป็นเงินสดเดินอยู่บนถนน 5th Avenue  ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านแพงของโลกอยู่เต็ม 2

ข้างทาง   ผมเดินตั้งแต่เช้ายันเย็น   จากร้านเปิดจนร้านปิด ก็เพื่อตั้งใจที่จะใช้ให้หมดทั้ง
100,000 เหรียญ โดยทำตัวให้ฟุ่มเฟือยสุดๆ   แต่ในที่สุดไปเห็นอะไรก็มีแล้ว จะซื้อฝาก
ลูกเมียก็ซื้อได้ไม่กี่อย่าง  เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรในที่สุดก็ใช้เงินไปประมาณ 30,000 กว่า
เหรียญ ก็ประมาณ 1 ล้านบาทเท่ากับ 1 ใน 3 เท่านั้น

ที่ผมเล่าให้ฟัง   เพราะมันเป็นความทรงจำที่มานิวยอร์คว่าอยากจะทำตัวบ้าๆเหมือนคนที่

เขารวยมากๆ  เพราะตอนนั้นถือว่าผมเป็นเศรษฐีใหม่ ในที่สุดก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า ถ้า
เราไม่เสียสติ เงินทองมีมากก็แค่นั้น เพราะวันๆไม่ได้ใช้อะไร ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานแล้วยิ่ง
ไม่รู้จะใช้ทำอะไร ความโลภจึงไมใช่สิ่งที่ดี  การหาเงินของคนทำธุรกิจมันก็เป็นเพียงการ
ขยายกิจการเพื่อรักษาสถานภาพขององค์กรและของพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ

ชีวิตผมมันเคยเห็นนรกและสวรรค์ในชาติเดียวกันมา 2 รอบแล้ว   เคยลำบากทางการเงิน

ขนาดต้องขึ้นศาลผลัดหนี้มาจนมีเงินหลายหมื่นล้านบาท  และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีจาก
การชนะการเลือกตั้ง  มาจนถึงต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศเพราะถูกทหารทำรัฐประหาร ก็
เลยเข้าใจสัจธรรมของชีวิตดีและอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังเพื่อจะ
ได้เป็นประโยชน์ในการบริหารชีวิตของแต่ละท่านครับ

---------------------------------------------------

รูปภาพ : นิวยอร์คอีกสักตอนครับ 

ผมมานิวยอร์คเที่ยวนี้ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมสภาพถนนทั่วๆไปถึงแย่จัง ขรุขระมาก ซึ่งถ้าจะซ่อมก็ง่ายนิดเดียว แต่ไม่ทำเป็นเวลานานแล้วด้วย กี่ปีก็คล้ายแบบนี้ และย่านที่คนต่างชาติอพยพมาอยู่ทั่วไปก็ยังโทรมๆอยู่ ผมไปย่านไฮโซที่เขาพยายามจะเลียนแบบลอสแองเจลิสที่มีร้านวัยรุ่น มีร้านอาหารสมัยใหม่ (ฟิวชันส์) ร้านแฟชั่น ร้านของประดับผู้หญิงก็เริ่มมาเปิดกัน แต่ยังทำสู้ทาง L.A. ไม่ได้ แม้นิวยอร์คจะเป็นศูนย์กลางการเงินโลก มีคนรุ่นใหม่อยู่เยอะ แต่ตามถนนคนดูไม่ค่อยมีตังส์เหมือน L.A. ครับ 

นักท่องเที่ยวและนักศึกษาจากจีนมีเยอะมาก เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวทั่วไปเช่นลอนดอนและปารีสครับ 

วันนี้พอเรื่องนิวยอร์คก่อน ครั้งหน้าจะเล่าเรื่อง Washinton D.C. ครับ เพราะตอนนี้ผมมาอยู่ D.C. แล้วครับ ก็จะเล่าให้ฟังทั้งเรื่องบ้านเมืองและการเมืองครับ

(12 มิถุนายน 2556)

นิวยอร์คอีกสักตอนครับ 

ผมมานิวยอร์คเที่ยวนี้ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมสภาพถนนทั่วๆไปถึงแย่จัง ขรุขระมาก ซึ่งถ้า
จะซ่อมก็ง่ายนิดเดียวแต่ไม่ทำเป็นเวลานานแล้วด้วย กี่ปีก็คล้ายแบบนี้ และย่านที่คนต่าง
ชาติอพยพมาอยู่ทั่วไปก็ยังโทรมๆอยู่ ผมไปย่านไฮโซที่เขาพยายามจะเลียนแบบลอส-
แองเจลิสที่มีร้านวัยรุ่น มีร้านอาหารสมัยใหม่ (ฟิวชันส์) ร้านแฟชั่น ร้านของประดับผู้หญิง
ก็เริ่มมาเปิดกัน แต่ยังทำสู้ทาง L.A.ไม่ได้ แม้นิวยอร์คจะเป็นศูนย์กลางการเงินโลก มีคน
รุ่นใหม่อยู่เยอะ แต่ตามถนนคนดูไม่ค่อยมีตังส์เหมือน L.A. ครับ

นักท่องเที่ยวและนักศึกษาจากจีนมีเยอะมาก  เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวทั่วไป เช่นลอน

ดอนและปารีสครับ

วันนี้พอเรื่องนิวยอร์คก่อน ครั้งหน้าจะเล่าเรื่อง Washinton D.C. ครับ เพราะตอนนี้ผมมา

อยู่ D.C. แล้วครับ ก็จะเล่าให้ฟังทั้งเรื่องบ้านเมืองและการเมืองครับ

----------------------------------------------------

รูปภาพ : วันนี้ผมกลับมาถึงลอนดอนแล้วครับ ก็ขอเล่าเรื่องการไปวอชิงตัน ดีซี หน่อยสัก 2 ตอน ครับ

ผมได้มีโอกาสไปพบกับคนในสถาบันที่เป็นสมองช่วยคิดช่วยค้นคว้าวิจัยให้กับรัฐบาลและฝ่ายการเมืองของสหรัฐหลายองค์กร มีความประทับใจหลายเรื่องที่เราต้องเอากลับมาคิดถึงของเราว่า ควรจะมีการพัฒนาของเราอย่างไร

เรื่องแรกคือเขามีองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (Non-Profit Organization) ที่ให้การสนับสนุนโดยภาคเอกชน เขาจ้างเด็กรุ่นใหม่เรียนหนังสือจากสถาบันดีๆ ในสหรัฐมาทำงานเพื่อทำวิจัยเรื่องราวด้านต่างๆ และออกเป็นยุทธศาสตร์เพื่อนำเสนอรัฐบาลและฝ่ายการเมืองผ่านกรรมาธิการด้านต่างๆ ทำให้สิ่งที่เขาพูด เขาคิด มีข้อมูลเพราะวิจัยรองรับ แล้วความรู้ที่ได้ เขาไม่หวง เขาแจกจ่ายต่อกันจนผมเดินไปเจอใคร ถ้าพูดเรื่องเดียวกัน ก็จะได้คำตอบเหมือนกันทุกองค์กร น่าสนใจมากครับ

ของไทยเรายังขาดตรงนี้มาก ไม่มีองค์กรที่เป็น Think Tank คนที่พูดทุกวันนี้ มีตั้งแต่พูดเพราะเข้าใจเอาเอง พูดเพราะฟังเขามาแล้วเชื่อเลย บางคนก็แต่งเรื่องเอาเองเพราะเรามีหนังสือนิยายมากกว่าตำราเรียน หรือหนังสือที่เป็นองค์ความรู้ 

ผมได้มีโอกาสซักถามกระบวนการสร้างความรู้ ความคิด และงานวิจัยของเขาแล้ว อยากเห็นบ้านเราเป็นเช่นนั้นครับ

ผมยอมรับว่าเขาเป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge Based Society) จริงๆครับ ถ้าเราอยากจะแข็งแรง อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลาน ไม่ใช่อยู่ไปวันๆหนึ่ง เอารุ่นพ่อแม่รอด รุ่นลูกก็ให้ช่วยตัวเองกันเองก็คงต้องปล่อยแบบนี้ล่ะครับ

ผมได้คุยกับคนเหล่านี้ ในเรื่องความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็น 180 ปีแห่งการเป็น Treaty Allied คือเป็นพันธมิตรด้วยสนธิสัญญาประเทศแรกในเอเชียกับสหรัฐอเมริกา และในสมัยผม ก็ได้เป็น 1 ในไม่กี่ประเทศในโลกที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) กับสหรัฐ และเรากำลังจะเข้าร่วมเจรจาการค้าในกรอบ TPP ร่วมกับหลายประเทศกับสหรัฐ ในเร็วๆนี้ ที่เขาสนใจมากคือเรื่องพม่า เรื่องความสัมพันธ์กับจีน และ ASEAN โดยรวม ว่าจะเดินกันอย่างไร 

ซึ่งตอนผมไปก็เพิ่งสิ้นสุดการประชุมผู้นำสหรัฐ, จีน อย่างไม่เป็นทางการแบบ Retreat ที่แคลิฟอเนียร์ ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน มีอะไรคืบหน้า อะไรไม่คืบหน้า แล้วสหรัฐคิดอะไร 

ยอมรับว่าไปเที่ยวนี้คุ้มค่ามากๆ ก็เลยเล่าให้ท่านนายกฯฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปรับการต่างประเทศของเราให้ Proactive ขึ้นเพราะสหรัฐจะให้ความสำคัญในการประชุมผู้นำในกรอบ EAS ที่เป็นการประชุมควบคู่ไปกับการประชุมผู้นำ ASEAN ทุกปีมาก และประเทศไทยเป็นประเทศสำคัญที่ต้องมีบทบาทครับ

(14 มิถุนายน 2556)

วันนี้ผมกลับมาถึงลอนดอนแล้วครับ ก็ขอเล่าเรื่องการไปวอชิงตัน ดีซี หน่อยสัก 2 ตอน

ผมได้มีโอกาสไปพบกับคนในสถาบันที่เป็นสมอง  ช่วยคิดช่วยค้นคว้าวิจัยให้กับรัฐบาล
และฝ่ายการเมืองของสหรัฐหลายองค์กร มีความประทับใจหลายเรื่องที่เราต้องเอากลับ
มาคิดถึงของเราว่า ควรจะมีการพัฒนาของเราอย่างไร

เรื่องแรก  คือเขามีองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (Non-Profit Organization)  ที่ให้

การสนับสนุนโดยภาคเอกชน เขาจ้างเด็กรุ่นใหม่เรียนหนังสือจากสถาบันดีๆ ในสหรัฐมา
ทำงานเพื่อทำวิจัยเรื่องราวด้านต่างๆ   และออกเป็นยุทธศาสตร์เพื่อนำเสนอรัฐบาลและ
ฝ่ายการเมืองผ่านกรรมาธิการด้านต่างๆ  ทำให้สิ่งที่เขาพูด  เขาคิด   มีข้อมูลเพราะวิจัย
รองรับ แล้วความรู้ที่ได้ เขาไม่หวง  เขาแจกจ่ายต่อกันจนผมเดินไปเจอใคร ถ้าพูดเรื่อง
เดียวกัน ก็จะได้คำตอบเหมือนกันทุกองค์กร น่าสนใจมากครับ

ของไทยเรายังขาดตรงนี้มาก ไม่มีองค์กรที่เป็น Think Tank คนที่พูดทุกวันนี้  มีตั้งแต่

พูดเพราะเข้าใจเอาเอง พูดเพราะฟังเขามาแล้วเชื่อเลย บางคนก็แต่งเรื่องเอาเองเพราะ
เรามีหนังสือนิยายมากกว่าตำราเรียน หรือหนังสือที่เป็นองค์ความรู้

ผมได้มีโอกาสซักถามกระบวนการสร้างความรู้ ความคิด และงานวิจัยของเขาแล้ว อยาก

เห็นบ้านเราเป็นเช่นนั้นครับ

ผมยอมรับว่าเขาเป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge Based Society) จริงๆครับ    ถ้าเรา

อยากจะแข็งแรง อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลาน ไม่ใช่อยู่ไปวันๆหนึ่ง  เอารุ่นพ่อแม่รอด
รุ่นลูกก็ให้ช่วยตัวเองกันเองก็คงต้องปล่อยแบบนี้ล่ะครับ

ผมได้คุยกับคนเหล่านี้ ในเรื่องความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ   ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็น 180 ปีแห่ง

การเป็น Treaty Allied    คือเป็นพันธมิตรด้วยสนธิสัญญาประเทศแรกในเอเชียกับสหรัฐ
อเมริกา และในสมัยผม ก็ได้เป็น 1 ในไม่กี่ประเทศในโลกที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
(Strategic Partnership) กับสหรัฐ    และเรากำลังจะเข้าร่วมเจรจาการค้าในกรอบ TPP
ร่วมกับหลายประเทศกับสหรัฐ ในเร็วๆนี้  ที่เขาสนใจมากคือเรื่องพม่า เรื่องความสัมพันธ์
กับจีน และ ASEAN โดยรวม ว่าจะเดินกันอย่างไร

ซึ่งตอนผมไปก็เพิ่งสิ้นสุดการประชุมผู้นำสหรัฐ, จีน   อย่างไม่เป็นทางการแบบ Retreat 

ที่แคลิฟอเนียร์ ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน มีอะไรคืบหน้า อะไรไม่คืบหน้าแล้วสหรัฐ
คิดอะไร

ยอมรับว่าไปเที่ยวนี้คุ้มค่ามากๆ ก็เลยเล่าให้ท่านนายกฯฟัง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปรับ

การต่างประเทศของเราให้ Proactive ขึ้นเพราะสหรัฐจะให้ความสำคัญในการประชุมผู้นำ
ในกรอบ EASที่เป็นการประชุมควบคู่ไปกับการประชุมผู้นำASEAN ทุกปีมาก และประเทศ
ไทยเป็นประเทศสำคัญที่ต้องมีบทบาทครับ

-----------------------------------------------------

รูปภาพ : หายไปนานครับ เดินทางมากไปหน่อย วันนี้ทราบข่าวท่านประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า (Nelson Mandela) ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ ผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อายุ 94 ปี เกิดอาการป่วยหนักรักษาตัวอยู่ในไอซียู ผมก็เลยขออนุญาตเขียนถึงท่านหน่อยครับเพื่อแสดงความนับถือและยกย่องบุคคลที่เป็นรัฐบุรุษของโลกไม่ใช่เพียงแอฟริกาใต้เท่านั้น

ท่านถูกจับติดคุกหลายปีในขณะต่อสู้กับการปกครองของคนผิวขาวเพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับคนผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจนต้องถูกจับเข้าคุกไปเป็นสิบๆปี แต่ก็ไม่เคยลดละความพยายามที่จะต่อสู้

ในขณะที่ท่านติดคุก ก็มีภริยาของท่านคือ Winnie Mandela ภรรยาแรกที่มีบุตรด้วยกันหลายคนเป็นผู้นำการต่อสู้อยู่ข้างนอก จนท่านเนลสัน แมนเดลาพ้นคุก และลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยชนะได้เป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงท่วมท้น แล้วท่านก็มาเริ่มขบวนการสร้างความปรองดองในชาติโดยใช้กีฬาคือรักบี้ฟุตบอลเป็นสื่อกลางให้คนขาวและคนดำมารวมกัน ซึ่งก็ได้ผลมากจนเกิดความปรองดองในชาติได้ 

ผมบังเอิญรู้จักภรรยาของท่านคือ Winnie Mandela ซึ่งเป็น ส.ส.อยู่ในสภา ขณะนั้นท่านก็อายุ 80 กว่าแล้ว(ภายหลังเลิกกันและภรรยาคนปัจจุบันของท่านคืออดีตภรรยาของอดีตประธานาธิบดีโมซัมบิก ซึ่งถึงแก่กรรมไปก่อนนานแล้ว) มาดาม Winnie ได้ชวนผมไปเยี่ยมที่บ้านที่อยู่ปัจจุบัน เป็นบ้านที่ท่านเนลสัน แมนเดลาได้มาอยู่ด้วยหลังจากออกจากคุก และก็ได้ให้ลูกสาวท่านพาผมไปเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดี เมื่อ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตอนนั้นท่านยังสมอง sharp มาก แต่ก็ไม่ค่อยดี ท่านยืนไม่ค่อยได้นาน ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านถูกล่ามโซ่ ทำให้ขามีปัญหา และท่านก็ถามถึงเหตุการณ์บ้านเราในขณะนั้น ท่านอยากเห็นความปรองดองในประเทศไทย ก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่พักนึง

พอวันนี้ผมก็เลยเขียนเพื่อแสดงความเคารพและหัวใจนักสู้ที่มีความเมตตาคิดถึงส่วรวมมากกว่าตัวเอง และก็ได้แต่อยากเห็นประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเมืองศิวิไลซ์แต่วันนี้กลับมีความแตกแยกได้กลับมาเป็นประเทศที่น่าอยู่เป็นที่ชื่นชมและน่าเคารพในสายตาคนอื่นเขาบ้าง แต่ก็ไม่ง่าย ถ้าเรายังอยู่กันด้วยการปล่อยข่าวลือโกหกทุกเรื่องเพียงเพื่อหวังทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจโดยไม่เคารพกติกาของประชาธิปไตย แถมคนรักษากติกาก็ไม่มีใจเป็นธรรม

วันนี้คนแอฟริกาใต้ไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือคนผิวดำ เขาก็มีความรักชาติเขาและเคารพกติกาที่มีอยู่ทั้งๆที่คนผิวขาวแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองมากนัก เขาก็เต็มใจที่จะอยู่ในกติกาของเขา 

บังเอิญกัปตันเครื่องบินส่วนตัวผมทั้งสองคนก็เป็นคนแอฟริกาใต้ผิวขาวทั้งคู่ เลยได้คุยกันถึงการต่อสู้ของท่านแมนเดลาและการอยู่ร่วมกันของคนทั้งผิวขาวและผิวดำอย่างสันติครับ

(29 มิถุนายน 2556)

หายไปนานครับ เดินทางมากไปหน่อย วันนี้ทราบข่าวท่านประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า
(Nelson Mandela) ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้   ผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อประชา
ธิปไตย อายุ 94 ปี เกิดอาการป่วยหนักรักษาตัวอยู่ในไอซียู  ผมก็เลยขออนุญาตเขียนถึง
ท่านหน่อยครับเพื่อแสดงความนับถือและยกย่องบุคคลที่เป็นรัฐบุรุษของโลก  ไม่ใช่เพียง
แอฟริกาใต้เท่านั้น

ท่านถูกจับติดคุกหลายปีในขณะต่อสู้กับการปกครองของคนผิวขาว   เพื่อเรียกร้องสิทธิให้

กับคนผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจนต้องถูกจับเข้าคุกไปเป็นสิบๆปี  แต่ก็ไม่เคย
ลดละความพยายามที่จะต่อสู้

ในขณะที่ท่านติดคุก   ก็มีภริยาของท่านคือ Winnie Mandela  ภรรยาแรกที่มีบุตรด้วยกัน

หลายคนเป็นผู้นำการต่อสู้อยู่ข้างนอก   จนท่านเนลสัน แมนเดลาพ้นคุก  และลงเลือกตั้ง
ตามระบอบประชาธิปไตย   ชนะได้เป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงท่วมท้น  แล้วท่านก็มาเริ่ม
ขบวนการสร้างความปรองดองในชาติ   โดยใช้กีฬาคือรักบี้ฟุตบอลเป็นสื่อกลางให้คนขาว
และคนดำมารวมกัน ซึ่งก็ได้ผลมากจนเกิดความปรองดองในชาติได้

ผมบังเอิญรู้จักภรรยาของท่านคือ Winnie Mandela ซึ่งเป็น ส.ส.อยู่ในสภา  ขณะนั้นท่าน

ก็อายุ 80 กว่าแล้ว(ภายหลังเลิกกันและภรรยาคนปัจจุบันของท่านคืออดีตภรรยาของอดีต
ประธานาธิบดีโมซัมบิก ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปก่อนนานแล้ว)  มาดาม Winnie ได้ชวนผมไป
เยี่ยมที่บ้านที่อยู่ปัจจุบัน เป็นบ้านที่ท่านเนลสัน แมนเดลา ได้มาอยู่ด้วยหลังจากออกจาก
คุก และก็ได้ให้ลูกสาวท่านพาผมไปเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดี เมื่อ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา
ตอนนั้นท่านยังสมอง sharp มาก แต่ก็ไม่ค่อยดี ท่านยืนไม่ค่อยได้นาน ท่านเล่าให้ฟังว่า
ท่านถูกล่ามโซ่   ทำให้ขามีปัญหา   และท่านก็ถามถึงเหตุการณ์บ้านเราในขณะนั้น ท่าน
อยากเห็นความปรองดองในประเทศไทย ก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่พักนึง

พอวันนี้ผมก็เลยเขียนเพื่อแสดงความเคารพและหัวใจนักสู้ที่มีความเมตตา   คิดถึงส่วรวม

มากกว่าตัวเอง   และก็ได้แต่อยากเห็นประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเมืองศิวิไลซ์แต่วันนี้กลับมี
ความแตกแยกได้กลับมาเป็นประเทศที่น่าอยู่   เป็นที่ชื่นชมและน่าเคารพในสายตาคนอื่น
เขาบ้าง  แต่ก็ไม่ง่าย   ถ้าเรายังอยู่กันด้วยการปล่อยข่าวลือโกหกทุกเรื่อง  เพียงเพื่อหวัง
ทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจโดยไม่เคารพกติกาของประชาธิปไตย  แถม
คนรักษากติกาก็ไม่มีใจเป็นธรรม

วันนี้คนแอฟริกาใต้ไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือคนผิวดำ  เขาก็มีความรักชาติเขาและเคารพ

กติกาที่มีอยู่ทั้งๆ ที่คนผิวขาวแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองมากนักเขาก็เต็มใจที่จะอยู่
ในกติกาของเขา

บังเอิญกัปตันเครื่องบินส่วนตัวผมทั้งสองคนก็เป็นคนแอฟริกาใต้ผิวขาวทั้งคู่ เลยได้คุยกัน

ถึงการต่อสู้ของท่านแมนเดลาและการอยู่ร่วมกันของคนทั้งผิวขาวและผิวดำอย่างสันติครับ

-------------------------------------------------

รูปภาพ : วันนี้ขอเล่าเรื่องแอฟริกาอีกครั้งครับ เป็นเรื่องราวของประเทศ Rwanda (รวันดา) ประเทศเล็กๆในแอฟริกา ในปี 1994 หรือ 2537 เป็นปีที่ผมได้เข้าสู่การเมืองครั้งแรกโดยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศโควต้าพรรคพลังธรรมด้วยการเชิญของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง โดยไปแทนที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ จนเป็นที่มาของความอาฆาตแค้นผมจนถึงทุกวันนี้ และคุณชวนเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งเดิมเคยชอบผมก่อนเข้าการเมืองเพราะท่านอยากให้ผมไปอยู่ประชาธิปัตย์ แต่พอผมไปรับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศของพรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมขณะนั้น ท่านก็เลยไม่พอใจผมจากวันนั้นจนถึงวันนี้

กลับมาที่รวันดาครับ ขณะนั้นประเทศนี้มีชนกลุ่มน้อยชื่อเผ่าทุตซี่ มีประชากรอยู่ประมาณเกือบ 700,000 คนแต่ถูกฆ่าตายไปโดยชนชาติเดียวกันซึ่งเป็นเผ่าของคนส่วนใหญ่ไปถึง 500,000 คน (80%) ซึ่งเรียกว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ว่าได้ เหตุเกิดเพราะดีเจวิทยุ 2 คน ปลุกระดมปลุกปั่นและชี้เป้าที่อยู่ของคนกลุ่มทุตซี่ซึ่งหนีหัวซุกหัวซุนให้ตามไปฆ่าจนเกือบสูญพันธุ์ โดยใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำเช่น ฆ่าพวกทุตซี่เหมือนกำจัดแมลงสาปในบ้าน ไม่บาป ถ้าไม่ฆ่ากันเราจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า ใช้สื่อวิทยุพูดทุกวันให้เกิดการเกลียดชังกัน ให้คนทั่วไปคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นมนุษย์ สถานีวิทยุแห่งนี้ได้รับฉายาว่าเป็นสถานีวิทยุแห่งความตาย หลังเหตุการณ์จบลง ในปีค.ศ. 2003 หรือพ.ศ. 2546 ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดาก็ได้ตัดสินประหารชีวิตดีเจทั้งสองคน ซึ่งปลุกปั่นโกหก บิดเบือนทำให้คนตายถึง 500,000 คน ซึ่งไม่คุ้มเลย บทเรียนนี้น่าจะมีความสำคัญต่อสื่อทั่วโลก 

กลับมาที่เมืองไทยดีกว่าครับ เงื่อนไขหนึ่งและสำคัญมากที่จะทำบ้านเมืองเกิดการปรองดอง ให้เมืองไทยกลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มเหมือนเมื่อก่อนได้ ก็ต้องให้สื่อที่เป็นธรรม เป็นกลาง มีจรรยาบรรณแห่งอาชีพของตัวเองมาช่วย วันนี้สื่อของเราแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. เลือกข้าง 2. ประเภทกลางๆแต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีคนที่มีทั้งอุดมการณ์ความเป็นสื่อที่ดี และที่มีอคติปนอยู่ด้วย

ผมคิดว่าวันนี้ประเทศไทยต้องการสื่อที่ช่วยให้บ้านเมืองเข้าสู่ความปรองดอง สื่อไทยจะแย่อย่างไรก็คงไม่เลวร้ายแบบรวันดาแน่ แต่สื่อต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ชอบดูทีวี ฟังวิทยุ และอ่านหนังสือนิยาย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรับความรู้ของคนไทย ถ้าท่านรู้จักทำวิจัยค้นคว้าหาความรู้มาให้คนไทยก็จะเป็นคุุณูปการ แต่ถ้าท่านมีอคติ ใส่ร้ายป้ายสีโกหก คนไทยก็จะได้รับรู้สิ่งผิดๆ สื่อของเราหลายท่านใช้ความรู้สึกของตัวเองมาถ่ายทอด เราเป็นประเทศที่องค์ความรู้ใหม่ๆน้อย เราต้องการองค์ความรู้ใหม่ๆที่สามารถกระจายความรู้ให้ประชาชนมากกว่าการแพร่กระจายข่าวลือ ในต่างประเทศเขามี Think Tank มากมายที่เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ ทุกวันนี้เลยกลายเป็นจุดอ่อนของคนไทยที่คิดไม่เป็น เชื่อข่าวลือ เชื่อข่าวปล่อย 

เราต้องช่วยกันสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับคนไทย ดีที่สุดและเร็วที่สุดคือทำอย่างไรให้คุณภาพของสื่อเราได้รับการพัฒนาและให้คนเป็นสื่อของเราได้เข้าใจว่าไม่มีใครผิดตลอดเวลาและไม่มีใครถูกตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีอคติ ถ้าถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด สังคมจะฉลาดขึ้นเยอะ ความสามัคคีในชาติก็จะดีขึ้นครับ

(3 กรกฎาคม 2556)

วันนี้ขอเล่าเรื่องแอฟริกาอีกครั้งครับ เป็นเรื่องราวของประเทศ Rwanda (รวันดา) ประเทศ
เล็กๆในแอฟริกา ในปี 1994 หรือ 2537   เป็นปีที่ผมได้เข้าสู่การเมืองครั้งแรกโดยเป็นรัฐ
มนตรีต่างประเทศโควต้าพรรคพลังธรรมด้วยการเชิญของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง  โดยไป
แทนที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ   จนเป็นที่มาของความอาฆาตแค้นผมจนถึงทุกวันนี้  และคุณ
ชวนเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งเดิมเคยชอบผมก่อนเข้าการเมืองเพราะท่านอยากให้
ผมไปอยู่ประชาธิปัตย์    แต่พอผมไปรับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศของพรรคพลังธรรมซึ่ง
เป็นพรรคร่วมขณะนั้น ท่านก็เลยไม่พอใจผมจากวันนั้นจนถึงวันนี้

กลับมาที่รวันดาครับ  ขณะนั้นประเทศนี้มีชนกลุ่มน้อยชื่อเผ่าทุตซี่ มีประชากรอยู่ประมาณ

เกือบ 700,000 คนแต่ถูกฆ่าตายไปโดยชนชาติเดียวกันซึ่งเป็นเผ่าของคนส่วนใหญ่ไปถึง
500,000 คน (80%) ซึ่งเรียกว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ว่าได้ เหตุเกิดเพราะดีเจวิทยุ 2
คน ปลุกระดมปลุกปั่นและชี้เป้าที่อยู่ของคนกลุ่มทุตซี่ซึ่งหนีหัวซุกหัวซุนให้ตามไปฆ่าจน
เกือบสูญพันธุ์ โดยใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำเช่น ฆ่าพวกทุตซี่เหมือนกำจัดแมลงสาปในบ้าน
ไม่บาป ถ้าไม่ฆ่ากันเราจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า ใช้สื่อวิทยุพูดทุกวันให้เกิดการเกลียดชังกัน ให้
คนทั่วไปคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีศักดิ์ศรี  ไม่มีความเป็นมนุษย์ สถานีวิทยุแห่งนี้ได้รับฉายาว่า
เป็นสถานีวิทยุแห่งความตาย  หลังเหตุการณ์จบลง ในปีค.ศ. 2003 หรือพ.ศ. 2546 ศาล
อาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดาก็ได้ตัดสินประหารชีวิตดีเจทั้งสองคนซึ่งปลุกปั่นโกหก
บิดเบือนทำให้คนตายถึง 500,000 คน ซึ่งไม่คุ้มเลย  บทเรียนนี้น่าจะมีความสำคัญต่อสื่อ
ทั่วโลก

กลับมาที่เมืองไทยดีกว่าครับ   เงื่อนไขหนึ่งและสำคัญมากที่จะทำบ้านเมืองเกิดการปรอง

ดองให้เมืองไทยกลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มเหมือนเมื่อก่อนได้ก็ต้องให้สื่อที่เป็นธรรม เป็น
กลาง มีจรรยาบรรณแห่งอาชีพของตัวเองมาช่วย   วันนี้สื่อของเราแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. เลือกข้าง   2. ประเภทกลางๆ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีคนที่มีทั้งอุดมการณ์ความเป็นสื่อ
ที่ดี และที่มีอคติปนอยู่ด้วย

ผมคิดว่าวันนี้ประเทศไทยต้องการสื่อที่ช่วยให้บ้านเมืองเข้าสู่ความปรองดอง   สื่อไทยจะ

แย่อย่างไรก็คงไม่เลวร้ายแบบรวันดาแน่    แต่สื่อต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบอ่าน
หนังสือพิมพ์ ชอบดูทีวี  ฟังวิทยุ และอ่านหนังสือนิยาย  ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรับความรู้ของ
คนไทย ถ้าท่านรู้จักทำวิจัยค้นคว้าหาความรู้มาให้คนไทยก็จะเป็นคุุณูปการ  แต่ถ้าท่านมี
อคติ ใส่ร้ายป้ายสีโกหก คนไทยก็จะได้รับรู้สิ่งผิดๆ สื่อของเราหลายท่านใช้ความรู้สึกของ
ตัวเองมาถ่ายทอด เราเป็นประเทศที่องค์ความรู้ใหม่ๆน้อย เราต้องการองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่
สามารถกระจายความรู้ให้ประชาชนมากกว่าการแพร่กระจายข่าวลือ   ในต่างประเทศเขามี
Think Tank มากมายที่เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ ทุกวันนี้เลยกลายเป็นจุดอ่อนของคนไทย
ที่คิดไม่เป็น เชื่อข่าวลือ เชื่อข่าวปล่อย

เราต้องช่วยกันสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับคนไทย  ดีที่สุด และเร็วที่สุดคือทำอย่างไรให้

คุณภาพของสื่อเราได้รับการพัฒนาและให้คนเป็นสื่อของเราได้เข้าใจว่าไม่มีใครผิดตลอด
เวลาและไม่มีใครถูกตลอดเวลา  ถ้าเราไม่มีอคติ ถ้าถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด  สังคมจะฉลาด
ขึ้นเยอะ ความสามัคคีในชาติก็จะดีขึ้นครับ

-----------------------------------------------------

รูปภาพ : ผมเขียน FB ตอนอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับดูไบจากฮ่องกงครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้เขียนนานมากเพราะมัวแต่เดินทาง ทำงานและรับแขก เมื่อวันก่อนโอ๊คส่งรูปและคลิปอัลกออิดะฮ์ (ปลอม) ขู่ผม พอผมเห็นปุ๊บก็ขำทันทีว่ามีคนคิดพิเรนทร์อีกเช่นเคย ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุดนะครับเผื่อจะไม่ถูกหลอกจากคนที่ไม่ค่อยรู้แต่อยากทำ

1. เวลาเป็นอัลกออิดะฮ์แท้เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า 
2. อัลกออิดะฮ์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง  
3. สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม 
4. อัลกออิดะฮ์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จว.ชายแดนใต้

ก็เลยอยากจะบอกพี่น้องคนไทยว่า ก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีวิธีคิด รู้จักคิดและวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของข่าวหลอกและข่าวลือครับ วันนี้เราโดนต้มกันเยอะจนมีครั้งหนึ่งผมจำได้ดีตอนผมทำธุรกิจอยู่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารการจัดการชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ Boston Consulting Group (BCG) ตอนเขามาทำ Presentation เพื่อเป็นการวิเคราะห์สังคมไทย ประโยคแรกที่ขึ้นมาบน slide เขาบอกว่า Thailand is rumour driven society

ผมเห็นแล้วทั้งขำทั้งเศร้า เพราะฝรั่งยังรู้จุดอ่อนของสังคมไทยว่าเป็นสังคมข่าวลือ (แถมข่าวปล่อยด้วย) เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเราจะแก้อย่างไรที่สังคมไทยจะเป็นสังคมที่รู้จักพินิจพิเคราะห์ ไม่เชื่อง่าย ไม่โดนหลอกง่าย สิ่งที่ผมหัดคิดและสอนลูกๆก็คือ โลกยุคนี้เป็นยุคที่เราเรียกกันว่าสังคมฐานความรู้ และเราต้องรู้จักเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น Formal หรือ Classroom type of education การอ่าน การเข้าเน็ต (google etc.) การไปดูนิทรรศการ การเดินทางไปต่างประเทศ ขี้สังเกตสังกาแล้วนำมาวิเคราะห์ก็จะสร้างให้เราได้ทั้ง Knowledge และ Wisdom

การเรียนแบบ Formal ในห้องเรียนอย่างเดียว แม้กระทั่งคนเรียนเก่งบางทีก็ได้แค่ Knowledge แต่ไม่ได้ Wisdom โดยเฉพาะนักท่องจำทั้งหลาย

พอพูดถึง BCG ผมก็เลยขอเล่าให้นักธุรกิจฟังว่า BCG เขามี Boston Model ที่ขึ้นชื่อ เขาแบ่งธุรกิจสร้างใหม่ออกเป็น 4 ประเภท 
1. ธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่ๆ เรียกว่า Baby 
2.ธุรกิจสร้างแล้วทางบัญชีมีกำไรแต่กระแสเงินสดยังติดลบเพราะต้องของบการลุงทุนเรียกว่า Star 
3.ธุรกิจที่ทางบัญชีและกระแสเงินสดเป็นบวกเพราะการขยายตัวให้เงินจากกำไรไปทำแล้วยังเหลือเรียกว่า Cash Cow 
4.ธุรกิจที่ขาดทุนกระแสเงินสดติดลบ ไม่มีอนาคต ยิ่งทำยิ่งเจ๊ง เรียกว่า Dog

ทั้ง 4 ข้อเป็นแนวทางที่เขาใช้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทตัวเองว่า ถ้ามี Dog ต้อง Kill คือเลิกเสีย อย่าทู่ซี้นานถ้าเราไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนให้มีกำไรได้ ถ้ามี Cash Cow ตัวใหญ่ไม่พอก็อย่าขยับสร้าง Baby ใหม่ๆเรื่อยๆเดี๋ยวจะเหนื่อย ให้รักษา Star และ Cash Cowไว้ให้ดี มีให้เยอะ แล้วจะสำเร็จครับ ขอให้สำเร็จทุกคนนะครับ

(31 กรกฎาคม 2556)

ผมเขียน FB ตอนอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับดูไบจากฮ่องกงครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้
เขียนนานมากเพราะมัวแต่เดินทาง  ทำงานและรับแขก   เมื่อวันก่อนโอ๊คส่งรูปและคลิป
อัลกออิดะฮ์ (ปลอม) ขู่ผม พอผมเห็นปุ๊บก็ขำทันทีว่ามีคนคิดพิเรนทร์อีกเช่นเคย ผมขอ
บอกวิธีดูให้ 3-4 จุดนะครับเผื่อจะไม่ถูกหลอกจากคนที่ไม่ค่อยรู้แต่อยากทำ

1. เวลาเป็นอัลกออิดะฮ์แท้เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า
2. อัลกออิดะฮ์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง
3. สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและ

    อยู่ดินแดนมุสลิม
4. อัลกออิดะฮ์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จว.ชายแดนใต้

ก็เลยอยากจะบอกพี่น้องคนไทยว่า ก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีวิธีคิด รู้จักคิดและวิเคราะห์
ไม่
เช่นนั้น  จะตกเป็นเหยื่อของข่าวหลอกและข่าวลือครับ   วันนี้เราโดนต้มกันเยอะจนมีครั้ง
หนึ่งผมจำได้ดี ตอนผมทำธุรกิจอยู่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว   ผมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาด้าน
บริหารการจัดการชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ Boston Consulting Group (BCG) ตอนเขามา
ทำ Presentationเพื่อเป็นการวิเคราะห์สังคมไทย ประโยคแรกที่ขึ้นมาบน slide เขาบอก
ว่า Thailand is rumour driven society

ผมเห็นแล้วทั้งขำทั้งเศร้า เพราะฝรั่งยังรู้จุดอ่อนของสังคมไทยว่าเป็นสังคมข่าวลือ (แถม

ข่าวปล่อยด้วย) เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเราจะแก้อย่างไรที่สังคมไทยจะเป็นสังคม
ที่รู้จักพินิจพิเคราะห์ ไม่เชื่อง่าย ไม่โดนหลอกง่าย สิ่งที่ผมหัดคิดและสอนลูกๆก็คือ โลก
ยุคนี้เป็นยุคที่เราเรียกกันว่าสังคมฐานความรู้   และเราต้องรู้จักเรียนรู้ตลอดชีวิต  ซึ่งไม่จำ
เป็นต้องเป็น Formal หรือ Classroom type of education การอ่าน การเข้าเน็ต (google 
etc.) การไปดูนิทรรศการ การเดินทางไปต่างประเทศ  ขี้สังเกตสังกาแล้วนำมาวิเคราะห์ก็
จะสร้างให้เราได้ทั้ง Knowledge และ Wisdom

การเรียนแบบ Formal ในห้องเรียนอย่างเดียว แม้กระทั่งคนเรียนเก่งบางทีก็ได้แค่ Know-

ledge แต่ไม่ได้ Wisdom โดยเฉพาะนักท่องจำทั้งหลาย

พอพูดถึง BCG ผมก็เลยขอเล่าให้นักธุรกิจฟังว่า BCGเขามี Boston Model ที่ขึ้นชื่อ เขา

แบ่งธุรกิจสร้างใหม่ออกเป็น 4 ประเภท
1. ธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่ๆ เรียกว่า Baby
2. ธุรกิจสร้างแล้วทางบัญชีมีกำไร  แต่กระแสเงินสดยังติดลบ เพราะต้องของบการลุงทุน

   เรียกว่า Star
3. ธุรกิจที่ทางบัญชีและกระแสเงินสดเป็นบวก  เพราะการขยายตัวให้เงินจากกำไรไปทำ

   แล้วยังเหลือเรียกว่า Cash Cow
4. ธุรกิจที่ขาดทุนกระแสเงินสดติดลบ ไม่มีอนาคต ยิ่งทำยิ่งเจ๊ง เรียกว่า Dog

ทั้ง 4 ข้อเป็นแนวทางที่เขาใช้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทตัวเองว่าถ้ามี Dog ต้อง Kill คือเลิกเสีย

อย่าทู่ซี้นานถ้าเราไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนให้มีกำไรได้ ถ้ามี Cash Cow ตัวใหญ่ไม่พอก็อย่า
ขยับสร้าง Baby ใหม่ๆเรื่อยๆเดี๋ยวจะเหนื่อย ให้รักษา Star และ Cash Cowไว้ให้ดี  มีให้
เยอะ แล้วจะสำเร็จครับ ขอให้สำเร็จทุกคนนะครับ

---------------------------------------------------

รูปภาพ : วันนี้อยู่บ้านว่างๆ ก็เลยหยิบหนังสือที่พรรคพวกเอามาให้เป็นของขวัญวันเกิดมาอ่านเล่มหนึ่งชื่อ Rethinking the MBA : Business Education at a crossroad เขียนโดยอาจารย์จาก Harvard 2 คน ชื่อ Srikant M. Datar และ David A. Garvin พร้อมนักวิจัยอีกคนหนึ่งชื่อ Patrick G. Cullen เป็นหนังสือก็ไม่ใหม่เท่าไร ปี 2010 ครับ

เรื่องของเรื่องคือ คณะอาจารย์ Harvard ได้ทำการวิจัยหลักสูตรการศึกษาวิชาบริหารธุรกิจโดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโท หรือ MBA ว่า Harvard เพิ่งฉลองครบ 100 ปีไปเมื่อ 2008 ก็พอดีมีความเสียหายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและบริษัทล้มก็เป็นผู้จบ MBA จำนวนมาก เขาจึงอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และควรปรับปรุงหลักสูตรใหม่หรือเปล่า

ปรากฏว่าหลักสูตรดังๆ ทั้งหลายเช่น ของมหาวิทยาลัยดังอื่นๆ อย่าง Stanford ก็มีความคล้ายกัน และพบว่าต้องปรับปรุงขนานใหญ่ อะไรดีใช้มานานก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์นั้น

นี่ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วตอนผมทำธุรกิจอยู่ มีลูกน้องคนหนึ่งที่เป็นวิศวกรแล้วไปต่อ MBA อยู่อเมริกาหลายปี ก่อนจะมาทำงานกับผม เขาเสนอให้ผมอนุมัติโครงการหนึ่ง โดยที่ผมให้ไปทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและผลตอบแทน (Feasibility Study) ก่อน

เขาทำมาครั้งแรก ผลการศึกษาไม่คุ้มกับการลงทุน ก็เลยกลับไปทำครั้งที่สอง ทีนี้ตัวเลขปรากฏว่า โครงการมีกำไร ผมก็เลยบอกว่า “เอ้ นี่ MBA สอนคุณว่าถ้าไม่คุ้ม ก็ปรับตัวเลขให้คุ้มหรือ” เขาก็ยืนยันว่าคุ้มจริงๆ ผมก็เลยอนุมัติ 

ผลต่อมาปรากฏว่าบริษัทขาดทุน 40 ล้าน 

หลังจากนั้นผมก็ไม่เชื่อผลการศึกษาของการทำ Feasibility โดยไม่ขอดูภาพรวมทั้งระบบอีกเลย ภาพรวมทั้งระบบก็คือสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ อายุของเทคโนโลยีที่ใช้ สภาวะการแข่งขัน

ถ้าดูแต่ตัวเลขก็จะพังแบบนี้ เหมือนเศรษฐกิจที่ล่มในหลายประเทศก็เกิดจากการที่ชอบดูแต่ตัวเลขบรรทัดสุดท้าย โดยไม่ดูข้อสันนิษฐานที่มาของตัวเลขและโยงกลับไปถึงปัจจัยภายนอก ภายใน และยุทธศาสตร์ขององค์กร 

เรื่องที่เกี่ยวพันอีกเรื่องที่อยากจะฝากให้ระวังคือ เรื่องการวัด KPI ของความสำเร็จของพนักงานหรือผู้บริหารทั้งหลายที่กำลังนิยมใช้ก็ทำให้หลายองค์กรที่มีผู้บริหารที่ KPI ในเกณฑ์ดีแต่เจ๊งกันเป็นแถว ก็เพราะไม่เข้าใจวิธีคิดและที่มาของมัน ที่คิดโดย Kaplan 

จริงๆแล้ว KPI ประกอบด้วยหลายตัวชี้วัดและให้น้ำหนักต่างกัน ซึ่งต้องแปรผันไปตามยุทธศาสตร์ขององค์กร สภาวะการแข่งขัน และสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป เพื่อเป็นตัวกระตุ้นการทำงานไม่ให้เกิด โง่แล้วขยัน หรือ ฉลาดแต่ขี้เกียจ

ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือว่า ถ้าขืนมองแต่ภาพเล็ก ไม่เงยหน้าดูภาพกว้างก็เหมือนคนก้มหน้าเดิน ซึ่งไม่ตกหลุมแน่ แต่ถ้าหัวไม่ชนกำแพง ก็ถูกรถชน หรือไม่ก็เดินชนคนอื่นนั้นเองครับ 

หลักสูตรทุกหลักสูตร ไม่ว่าวิชาอะไรก็ต้องปรับปรุงทุก 3-4 ปีเป็นอย่างช้า เพราะโลกมี Dynamism หรือการเปลี่ยนแปลงสูง ไม่ได้เป็น Static เหมือนคนไม่เคยเปลี่ยนวิธีคิด อันตรายครับ

(3 สิงหาคม 2556)

วันนี้อยู่บ้านว่างๆ  ก็เลยหยิบหนังสือที่พรรคพวกเอามาให้เป็นของขวัญวันเกิดมาอ่านเล่ม
หนึ่งชื่อRethinking the MBA : Business Education at a crossroad เขียนโดยอาจารย์
จาก Harvard 2 คน ชื่อ Srikant M. Datar และ David A. Garvin   พร้อมนักวิจัยอีกคน
นึ่งชื่อ Patrick G. Cullen เป็นหนังสือก็ไม่ใหม่เท่าไร ปี 2010 ครับ

เรื่องของเรื่องคือคณะอาจารย์ Harvard ได้ทำการวิจัยหลักสูตรการศึกษาวิชาบริหารธุรกิจ

โดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโทหรือMBA ว่า Harvard เพิ่งฉลองครบ 100 ปีไปเมื่อ 2008
ก็พอดีมีความเสียหายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและ
บริษัทล้มก็เป็นผู้จบ MBA จำนวนมาก เขาจึงอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และควรปรับปรุง
หลักสูตรใหม่หรือเปล่า

ปรากฏว่าหลักสูตรดังๆ ทั้งหลายเช่น  ของมหาวิทยาลัยดังอื่นๆ อย่าง Stanford ก็มีความ

คล้ายกัน และพบว่าต้องปรับปรุงขนานใหญ่ อะไรดีใช้มานานก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามสถาน
การณ์นั้น

นี่ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วตอนผมทำธุรกิจอยู่ มีลูกน้องคนหนึ่งที่เป็นวิศวกรแล้วไป

ต่อ MBA อยู่อเมริกาหลายปี ก่อนจะมาทำงานกับผม  เขาเสนอให้ผมอนุมัติโครงการหนึ่ง
โดยที่ผมให้ไปทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน    และผลตอบแทน (Feasibility
Study) ก่อน

เขาทำมาครั้งแรก ผลการศึกษาไม่คุ้มกับการลงทุน ก็เลยกลับไปทำครั้งที่สอง ทีนี้ตัวเลข

ปรากฏว่า โครงการมีกำไร ผมก็เลยบอกว่า “เอ้ นี่ MBA สอนคุณว่าถ้าไม่คุ้ม ก็ปรับตัวเลข
ให้คุ้มหรือ” เขาก็ยืนยันว่าคุ้มจริงๆ ผมก็เลยอนุมัติ

ผลต่อมาปรากฏว่าบริษัทขาดทุน 40 ล้าน

หลังจากนั้นผมก็ไม่เชื่อผลการศึกษาของการทำ Feasibility โดยไม่ขอดูภาพรวมทั้งระบบ

อีกเลย ภาพรวมทั้งระบบก็คือสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ
อายุของเทคโนโลยีที่ใช้ สภาวะการแข่งขัน

ถ้าดูแต่ตัวเลขก็จะพังแบบนี้ เหมือนเศรษฐกิจที่ล่มในหลายประเทศก็เกิดจากการที่ชอบดู

แต่ตัวเลขบรรทัดสุดท้าย โดยไม่ดูข้อสันนิษฐานที่มาของตัวเลข และโยงกลับไปถึงปัจจัย
ภายนอก ภายใน และยุทธศาสตร์ขององค์กร

เรื่องที่เกี่ยวพันอีกเรื่อง ที่อยากจะฝากให้ระวังคือ  เรื่องการวัด KPI  ของความสำเร็จของ

พนักงานหรือผู้บริหารทั้งหลายที่กำลังนิยมใช้ ก็ทำให้หลายองค์กรที่มีผู้บริหารที่ KPI ใน
เกณฑ์ดีแต่เจ๊งกันเป็นแถว ก็เพราะไม่เข้าใจวิธีคิดและที่มาของมัน ที่คิดโดย Kaplan

จริงๆแล้ว KPI ประกอบด้วยหลายตัวชี้วัด และให้น้ำหนักต่างกัน    ซึ่งต้องแปรผันไปตาม

ยุทธศาสตร์ขององค์กร  สภาวะการแข่งขัน และสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป  เพื่อเป็นตัว
กระตุ้นการทำงานไม่ให้เกิด โง่แล้วขยัน หรือ ฉลาดแต่ขี้เกียจ

ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือว่า ถ้าขืนมองแต่ภาพเล็ก ไม่เงยหน้าดูภาพกว้างก็เหมือนคนก้มหน้า

เดินซึ่งไม่ตกหลุมแน่ แต่ถ้าหัวไม่ชนกำแพง ก็ถูกรถชน หรือไม่ก็เดินชนคนอื่นนั้นเองครับ

หลักสูตรทุกหลักสูตร  ไม่ว่าวิชาอะไรก็ต้องปรับปรุงทุก 3-4 ปีเป็นอย่างช้า   เพราะโลกมี

Dynamism  หรือการเปลี่ยนแปลงสูง  ไม่ได้เป็น Static    เหมือนคนไม่เคยเปลี่ยนวิธีคิด
อันตรายครับ

----------------------------------------------------

ขออนุญาตนำมาเผยแพร่
ขอบพระคุณเนื้อหาความรู้  จาก Facebook  Thaksin Shinawatra  

----------------------------------------------------