ความรู้คู่สุขภาพ & ความงาม (2)
❀4 สูตรหน้าใสได้ด้วยตัวเอง ❀
ให้ท่านล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผล
มาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที ล้างออก
2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด จากนั้นก็นำมะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำ ประมาณ
1 ช้อนชาใส่ลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า เว้นบริเวณรอบ
ดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10นาที แล้วล้างออก
3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน
นำโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ประมาณ 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับ
มะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที
แล้วล้างออก
4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอก
ให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดถูให้ทั่ว ขัด 5 นาท ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละ
ครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั้นเอง
❀10นิสัยทำร้ายสมอง ❀
1.ไม่ทานอาหารเช้า
การไม่ทานอาหารเช้า เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้
สมองเสื่อมได้
2.กินอาหารมากเกินไป
การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว
เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.การสูบบุหรี่
เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อ และเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4.ทานของหวานมากเกินไป
มีผลทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากไป จะขัดขวางการดูดโปรตีนและสาร
อาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
5.การอดนอน
คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับ จะทำให้
สมองได้พักผ่อน
6.มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ
เข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง ๆ
7.ขาดการใช้ความคิด
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้น
เหตุของอาการสมองฝ่อ
8.เป็นคนไม่ค่อยพูด
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคน
อื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
9.นอนคลุมโปง
การนอนคลุมโปง เป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้
น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
ลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
❀กระเจี๊ยบแดง-พุทราจีน ลดไข้มันในเลือด ❀
สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ลดความดันเลือด
ลดความข้นในกรณีที่เลือดหนืด ป้องกันเส้นเลือดเสื่อมสภาพ ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดี
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ และลดน้ำหนัก
สรรพคุณพุทราจีน มีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ลดโอกาสเสี่ยงผนังเส้นเลือด
แข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน
ขั้นตอนการทำ กระเจี๊ยบแดง พุทราจีน ในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไป
ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำ-
ตาลทรายแดงละลายก็เป็นอันเสร็จ สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและดื่ม
ได้ทันที หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้
❀มะขามเปียก ❀
มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากัน พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะ
บริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้
ขาหนีบ ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออก เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง
ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้
❀5 ยอดอาหารบำรุงสมองก่อนสอบ❀
บริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้
ขาหนีบ ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออก เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง
ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้
❀5 ยอดอาหารบำรุงสมองก่อนสอบ❀
ปลาซาร์ดีน อุดมด้วยโอเมก้า3 ปริมาณสูง กรดไขมัน DHA ในโอเมก้า 3 สำคัญ
ต่อการพัฒนาสมองส่วนความจำ และการเรียนรู้ ทั้งยังพบว่า กรดไขมันชนิดนี้เป็น
ส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65% ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเอง แต่ได้
จากอาหารที่บริโภค เช่น ปลา นอกจากนี้การรับประทานปลาซาร์ดีนเป็นประจำยัง
สามารถลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ สำหรับเมนูแนะนำทำง่าย
อาทิ ปลาซาร์ดีนผัดซอสมะเขือเทศ ข้าวผัดปลาซาร์ดีน พาสต้าปลาซาร์ดีน
ไข่ ภายในบรรจุโคลีนสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์สมอง มีผลต่อประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ ซึ่งไข่แดงจัดเป็นอาหารที่ให้โคลีนมากที่สุดชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ ยัง
ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ด้วย
ข้าวโอ๊ต โดยฟอสฟาติดิลโคลีนที่พบในเลซิติน จะช่วยด้านความจำ นอกจากนี้
ข้าวโอ๊ตยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูงไขมันต่ำ มีวิตามิน เกลือแร่
และเส้นใยมาก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ
วอลนัต ประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ รวมทั้งวิตามินบีที่ให้พลังงาน และพัฒนา
การทำงานของสมอง วอลนัตยังช่วยเพิ่มความสามารถของสมองจากการต้าน
สารอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลายเซลล์สมองได้
กล้วย มีวิตามินบี 6 ช่วยให้การสื่อสารระหว่างกล้ามเนื้อกับเส้นประสาทเป็นไป
ได้สะดวก ทั้งยังช่วยให้สมองผลิตสารเซโรโทนินที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความ
วิตกกังวลได้
อย่างไรก็ตาม หากรับประทานเป็นประจำได้ยิ่งดี มีประโยชน์ เพื่อสมองกระฉับ
กระเฉง ฟิตพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทุกวัน
ต่อการพัฒนาสมองส่วนความจำ และการเรียนรู้ ทั้งยังพบว่า กรดไขมันชนิดนี้เป็น
ส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65% ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเอง แต่ได้
จากอาหารที่บริโภค เช่น ปลา นอกจากนี้การรับประทานปลาซาร์ดีนเป็นประจำยัง
สามารถลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ สำหรับเมนูแนะนำทำง่าย
อาทิ ปลาซาร์ดีนผัดซอสมะเขือเทศ ข้าวผัดปลาซาร์ดีน พาสต้าปลาซาร์ดีน
ไข่ ภายในบรรจุโคลีนสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์สมอง มีผลต่อประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ ซึ่งไข่แดงจัดเป็นอาหารที่ให้โคลีนมากที่สุดชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ ยัง
ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ด้วย
ข้าวโอ๊ต โดยฟอสฟาติดิลโคลีนที่พบในเลซิติน จะช่วยด้านความจำ นอกจากนี้
ข้าวโอ๊ตยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูงไขมันต่ำ มีวิตามิน เกลือแร่
และเส้นใยมาก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ
วอลนัต ประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ รวมทั้งวิตามินบีที่ให้พลังงาน และพัฒนา
การทำงานของสมอง วอลนัตยังช่วยเพิ่มความสามารถของสมองจากการต้าน
สารอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลายเซลล์สมองได้
กล้วย มีวิตามินบี 6 ช่วยให้การสื่อสารระหว่างกล้ามเนื้อกับเส้นประสาทเป็นไป
ได้สะดวก ทั้งยังช่วยให้สมองผลิตสารเซโรโทนินที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความ
วิตกกังวลได้
อย่างไรก็ตาม หากรับประทานเป็นประจำได้ยิ่งดี มีประโยชน์ เพื่อสมองกระฉับ
กระเฉง ฟิตพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทุกวัน
❀18 เคล็ดลับสุขภาพดี
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้
จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ
ในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหาร ควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้ 2
ชนิดนี้มีเอนไซม์ ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักได้ง่ายขึ้น และหลังจาก
ทานเสร็จแล้ว ควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่ง
จะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่าง
กายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำ
ให้กลายเป็นเครียด และนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงด
ผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่วนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูก
กักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดี เราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึง
คืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำ
ให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวนเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่
วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง
พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียดเพื่อ
ไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม จากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะ
สารสังเคราะห์ในพลาสติก ให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา และโดย
เฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟ ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้อง
หลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้ว อาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่หลายคนมักจะไม่สนใจ
เพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ที่จริง อาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คิด
เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัด
ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุด คือการดื่มน้ำบ่อย ๆ
เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วทั้ง
ร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหา ก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่ง
ยอง ๆ ทุกวัน ๆ ละ 15 นาที จ ากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้า และข้างหลังเพื่อ
ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่ม ๆ แปรงผิวหนังเบา ๆ
โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อย ๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไป
จนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบ
ท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชา หรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญ
คุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีน
จะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟิน ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะ
ต่าง ๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใคร ๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อย ๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่
ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลยแล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ
ในครั้งเดียว อาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำ
ให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมองหัวใจ หรือ
ปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้า จัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติ ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่
ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแสง
แดดอ่อน ๆ มีวิตามิน ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาต่อต้าน
อาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อน จึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัว
แต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย คนที่เป็น
เบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วย
ให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็น ร่างกายต้องใช้พลัง
งานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้
จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาว ๆ ควรผสม
น้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้ง ในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิด
หน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้ และการ
เผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดัง หรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศ
คือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้
ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่าง ๆ จึงทำงานได้เป็น
ปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผล หรือมากกว่านั้น
ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควร
จะทานแบบสุก ๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูก
ความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาวผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้
จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ
ในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหาร ควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้ 2
ชนิดนี้มีเอนไซม์ ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักได้ง่ายขึ้น และหลังจาก
ทานเสร็จแล้ว ควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่ง
จะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่าง
กายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำ
ให้กลายเป็นเครียด และนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงด
ผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่วนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูก
กักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดี เราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึง
คืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำ
ให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวนเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่
วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง
พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียดเพื่อ
ไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม จากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะ
สารสังเคราะห์ในพลาสติก ให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา และโดย
เฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟ ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้อง
หลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้ว อาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่หลายคนมักจะไม่สนใจ
เพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ที่จริง อาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คิด
เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัด
ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุด คือการดื่มน้ำบ่อย ๆ
เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วทั้ง
ร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหา ก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่ง
ยอง ๆ ทุกวัน ๆ ละ 15 นาที จ ากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้า และข้างหลังเพื่อ
ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่ม ๆ แปรงผิวหนังเบา ๆ
โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อย ๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไป
จนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบ
ท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชา หรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญ
คุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีน
จะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟิน ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะ
ต่าง ๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใคร ๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อย ๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่
ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลยแล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ
ในครั้งเดียว อาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำ
ให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมองหัวใจ หรือ
ปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้า จัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติ ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่
ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแสง
แดดอ่อน ๆ มีวิตามิน ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาต่อต้าน
อาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อน จึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัว
แต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย คนที่เป็น
เบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วย
ให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็น ร่างกายต้องใช้พลัง
งานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้
จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาว ๆ ควรผสม
น้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้ง ในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิด
หน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้ และการ
เผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดัง หรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศ
คือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้
ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่าง ๆ จึงทำงานได้เป็น
ปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผล หรือมากกว่านั้น
ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควร
จะทานแบบสุก ๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูก
ความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้
ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริง ๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการ
ผสมน้ำมาก ๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาว ๆ ควรจะฝึกสมองด้วย
การเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรือ
อาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ อย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะ
เกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
❀เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินเอ
แหล่งที่พบวิตามินเอ พบมากในน้ำมันตับปลา ผักมีสีเหลือง สีส้มต่างๆ รวมไป
ถึงสีเขียวเข้ม เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรูท
ประโยชน์ของวิตามินเอ
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำในวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
ถึงสีเขียวเข้ม เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรูท
ประโยชน์ของวิตามินเอ
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำในวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
❀ชวนกันไปล้างพิษ ❀
คุณเคยบ้างไหม...รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นเวลายาวนาน ไร้พลังกายใจ ไม่สามารถ
รวบรวมสมาธิทำงานได้นาน ๆ ซึมเศร้า ขาดชีวิตชีวา มีปัญหาผิวหนัง ปวดหัว
หรือเป็นไข้บ่อย ๆ
ร่างกายของคุณอาจกำลังสะสมพิษไว้ในตัวมากเกินไปแล้ว อากาศที่เราหาย
ใจหรืออาหารที่เรากินเข้าไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการสำคัญในการสะสมทั้งนั้น ซึ่ง
เราจะต่อต้านมันได้ด้วยการขจัดพิษเพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่น มีพลังเพิ่มขึ้น
อาการต่างๆที่บอกว่ามีพิษไปสะสมอยู่ที่ไหนบ้าง??
☆ถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่ และลำไส้เล็ก
อาการ
มักจะท้องผูก ท้องอืด ท้องเสีย บ่อย ๆ ซึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ค่อยมีประ-
โยชน์ ไม่ถูกส่วน เครียด ใช้ยาพวกแอนตี้ไบโอติกบ่อย ดื่มสุราเป็นประจำ หรือ
ดื่มน้ำน้อยไป
อาหารที่จะช่วยได้
คือผักใบเขียวที่มีคลอโรฟีลล์มาก ๆ หรือนมเปรี้ยวที่มีแล็กโตบาซิลลัส
☆ถ้ามีปัญหาผิวหนังต่าง ๆ
อาการ
เป็นผื่นแพ้บ่อย ๆ ลิ้นขม ปวดศีรษะ อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหนื่อยล้า นั่นแสดงว่าตับกับ
ไตทำงานหนักเกินไปแล้ว เพราะกรองของเสียเก็บไว้เยอะ
อาหารที่จะช่วยได้
องุ่น จะช่วยทำความสะอาดตับไตและผิวหนังได้
☆พิษที่สะสมในระบบทางเดินหายใจ
อาการ
จะทำให้เป็นหวัดบ่อย ๆ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ มีเซลลูไลท์ ขาดน้ำ มี
ปัญหาเรื่องผิวหนัง
อาหารที่จะช่วยได้
กระเทียม และวิตามินซีจะช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจ
ขจัดพิษกันเถอะ
การล้างพิษในร่างกาย มีวิธีการต่าง ๆ เช่นสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ หรือการอด
อาหาร และการเลือกกินอาหาร รวมทั้งการปฏิบัติตัวเพื่อการล้างพิษ เช่น
- อดอาหาร หรือดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ 2-3 วัน เช่นดื่มน้ำอ้อยผสมน้ำมะนาว หรือ
สวนด้วยกาแฟ ไม่จำเป็นต้องดีทอกซ์ แบบ สวนกาแฟที่กำลังแพร่หลายกัน เพราะ
บางคนอาจแพ้กาแฟ หรือไม่มีความรู้จริงเรื่องการทำ การดูแลความสะอาด ปริมาณ
ของกาแฟที่ใช้ หรือ ถ้าน้ำกาแฟไม่อยู่ในลำไส้นานถึง 10 นาที ก็เท่ากับเป็นการ
สวนอุจจาระเฉย ๆ และลำไส้บางคนอาจเป็นแผล คนที่จะทำได้ต้องไม่มีโรคหัวใจ
ความดันโลหิต หรือไต
- กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวมันป ธัญพืช ผัก เต้าหู้ 10
วัน พยายามลดเนื้อสัตว์ นม ไข่ กะทิ ของหวาน ร่างกายเราจะได้อาหารที่บริสุทธิ์
ไปสร้างเม็ดเลือดที่บริสุทธิ์ 10 วันที่ถ่ายออกไปก็เท่ากับขับพิษหรือของเสียออกไป
เหล้าเบียร์ ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาล น้ำผึ้ง ชา กาแฟ อาหารกระป๋อง ที่แพ็กมาเป็น
ห่อ ๆ ฟาสต์ฟู้ด หรือวางอยู่บนชั้นนานแล้ว พวกซอสมะเขือเทศ มายองเนส ลด
อาหารพวกไข่ ไก่ ผลไม้ น้ำสลัด และน้ำส้มสายชู ข้าวขัดขาว
- กินผักดิบสด ๆ ดีกว่า เพราะจะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี โดยเฉพาะ
ผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น แครอต มะเขือเทศ บีทรูท รวมทั้งผักใบเขียวต่าง
กินเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ปรุงรสชาติและกลิ่นอาหารด้วยกระเทียม ขิง สมุนไพรต่าง
หันมากินเนื้อปลา โดยเฉพาะพวกปลาน้ำลึก ข้าวหรือพวกแป้งไม่ขัดขาว เช่นข้าว
กล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี มันฝรั่ง ลูกเดือย ถ้าอยากกินสลัดผักควรทำเองจะดีกว่า
เพราะเราเลือกได้ว่าจะซื้อผักปลอดสารพิษมาทำ ล้างสะอาดแค่ไหนก็รู้ด้วยตัวเอง
มาใช้ ซึ่งทำให้ของเสียที่อยู่ในล้ำไส้แห้งลงไป กระบวนการขับถ่ายออกจากร่างกาย
ช้าลงสารพิษก็จะถูกดูดซึมกลับสู่ร่างกายอีก
- กระตุ้นระบบทางเดินอาหาร ด้วยการเริ่มจากน้ำอุ่น ๆ ในตอนเช้า อาจจะ
เป็นน้ำผลไม้เช่นน้ำมะนาว ช่วงกลางวันดื่มน้ำอุณหภูมิปกติให้ได้ 6-8 แก้ว เปลี่ยน
จากชากาแฟ เป็นชาสมุนไพรแทน
- ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มเอง น้ำมะเขือเทศมีวิตามินซีสูง น้ำบีทรูท แครอท
และเซเลอรี่ เป็นน้ำผักที่บำรุงตับ ถ้ารสชาติไม่อร่อย เติมน้ำสับปะรด หรือน้ำผลไม้
อื่น ๆเพื่อปรุงรสสักนิด ไม่ควรเติมน้ำผลไม้รสหวานมากไป หรือดื่มน้ำผลไม้มาก
กว่าวันละ1 แก้ว เพราะว่ามีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ ดื่มน้อย ๆ ดีกว่า
ของเลือดให้เลือดขนส่งออกซิเจนและสารอาหารที่มีคุณค่าได้ดีขึ้น และการทำงาน
ของระบบหายใจก็จะดีขึ้นด้วย
- เลือกเดินหรือจ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน แอโรบิก โยคะ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงหรือ
45นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3-5 วัน
- หัดหายใจ เชื่อไหมว่าเรายังหายใจกันไม่ค่อยถูกต้อง หัดหายใจใหม่ ถ้ายัง
หายใจตื้น ๆ สั้น ๆ อยู่ พยายามหายใจให้ยาวขึ้น และหายใจช้าๆ นับ 1 ถึง 4 ในการ
หายใจเข้าออก 1 ครั้ง การหายใจเข้าลึกๆทำให้เราสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้เต็มที่
และหายใจออกยาว ๆ ก็จะช่วยการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น
- ขัดผิวผ่อง การขัดผิวนอกจากเพื่อบำรุงบำเรอความงามแล้ว ยังช่วยปรับการ
ไหลเวียนและช่วยยักย้ายถ่ายเทพิษที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ สู่กระแสเลือด เพื่อขับถ่าย
ออกไป ใช้แปรงด้ามยาวที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ขัดผิวสัก 5 นาทีก่อนอาบน้ำ หรือ
นานกว่านั้นเล็กน้อยก็ได้
เริ่มจากการขัดเท้า น่อง ไปสู่ต้นขา ขัดเหนือสะโพก และขึ้นไปกลางหลังไล่ไป
ที่ต้นแขน ไปที่ไหล่ ลงไปที่อก ตรงไปสู่หัวใจ และขัดจากหลังคอลงมา สุดท้ายก็ขัด
วนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาแถว ๆ ท้อง เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
- ล้างใจให้สะอาด อารมณ์ที่ไม่เบิกบาน ความโกรธ เสียใจ เครียด เศร้าซึม จะ
ทำให้ร่างกายเราหลั่งสารที่มาทำร้ายตัวเราเองมากขึ้น ระหว่างกระบวนการขจัดพิษ
พยายามละลายอารมณ์เสีย ๆ เหล่านี้ทิ้งไปแล้ว
- เปลี่ยนวิธีคิดสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดกับจิตใจ เช่น หัดช่วยเหลือคนอื่น ให้อภัย
ยอมแพ้ ลองมองโลกในแง่ดี
- ทอดสายตามองทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ สักวันละ 15 นาที
อาการระหว่างล้างพิษ
อย่าตกใจถ้ามีอาการเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ มีเม็ดสิวขึ้น มีผื่นที่ผิวหนัง ปวด
กล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยล้า ท้องอืด กลิ่นตัว
และลมหายใจไม่สะอาด อาการเหล่านี้เกิดเพราะร่างกายกำลังกำจัดของเสีย ออกไป
อาการจะเป็นราว ๆ 3 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ หายไป
ผู้ที่ยังไม่ควรใช้วิธีล้างพิษ!!
- เหนื่อยอ่อนล้าเพราะทำงานหนัก หรือกำลังอยู่ในช่วงเครียดจัดเกินไป ไม่สบาย
- เพิ่งหายไข้หายหวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต
- โรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการให้นม หรืออยู่ในระหว่างการกินยา
รักษาโรคอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน
ข้อควรระวัง!!
- ถ้าใช้ช่วงเวลาในการขจัดพิษนานเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- การดื่มน้ำผักน้ำผลไม้ปริมาณมาก ๆ อาจจะทำให้ถ่ายท้องมากเกินไป
- ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป จะไปทำร้ายไตได้ นอกจากนี้ยังไปช่วย
กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นไปอีก
- อย่าวิตกกังวลเกินเหตุว่า ร่างกายเราได้รับพิษอันมหาศาล หรือเคร่งเครียด เอา
เป็นเอาตายกับการขจัดพิษมากเกินไป เพราะแทนที่ผลออกมาจะสบาย กลับ
ให้ผลตรงกันข้าม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนซีเรียส ท่องไว้เบา ๆ ว่า..."อย่าซีเรียส"
****ถ้าสามารถจัดสรรเวลาให้ตัวเองอยู่ในกระบวนการขจัดพิษใน 1 เดือน แล้ว
จะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวหนังสะอาดขึ้น ดวงตาสดใส ท้องผูกน้อยลง น้ำหนัก
ลด อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดระดับความวิตกกังวลไปได้ดีทีเดียว

45นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3-5 วัน
หายใจตื้น ๆ สั้น ๆ อยู่ พยายามหายใจให้ยาวขึ้น และหายใจช้าๆ นับ 1 ถึง 4 ในการ
หายใจเข้าออก 1 ครั้ง การหายใจเข้าลึกๆทำให้เราสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้เต็มที่
และหายใจออกยาว ๆ ก็จะช่วยการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น
-
ไหลเวียนและช่วยยักย้ายถ่ายเทพิษที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ สู่กระแสเลือด เพื่อขับถ่าย
ออกไป ใช้แปรงด้ามยาวที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ขัดผิวสัก 5 นาทีก่อนอาบน้ำ หรือ
นานกว่านั้นเล็กน้อยก็ได้
เริ่มจากการขัดเท้า น่อง ไปสู่ต้นขา ขัดเหนือสะโพก และขึ้นไปกลางหลังไล่ไป
ที่ต้นแขน ไปที่ไหล่ ลงไปที่อก ตรงไปสู่หัวใจ และขัดจากหลังคอลงมา สุดท้ายก็ขัด
วนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาแถว ๆ ท้อง เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ทำให้ร่างกายเราหลั่งสารที่มาทำร้ายตัวเราเองมากขึ้น ระหว่างกระบวนการขจัดพิษ
พยายามละลายอารมณ์เสีย ๆ เหล่านี้ทิ้งไปแล้ว
ยอมแพ้ ลองมองโลกในแง่ดี
- ทอดสายตามองทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ สักวันละ 15 นาที
อาการระหว่างล้างพิษ
อย่าตกใจถ้ามีอาการเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ มีเม็ดสิวขึ้น มีผื่นที่ผิวหนัง ปวด
กล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยล้า ท้องอืด กลิ่นตัว
และลมหายใจไม่สะอาด อาการเหล่านี้เกิดเพราะร่างกายกำลังกำจัดของเสีย ออกไป
อาการจะเป็นราว ๆ 3 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ หายไป
ผู้ที่ยังไม่ควรใช้วิธีล้างพิษ!!
- เหนื่อยอ่อนล้าเพราะทำงานหนัก หรือกำลังอยู่ในช่วงเครียดจัดเกินไป ไม่สบาย
- เพิ่งหายไข้หายหวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต
- โรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการให้นม หรืออยู่ในระหว่างการกินยา
รักษาโรคอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน
ข้อควรระวัง!!
- ถ้าใช้ช่วงเวลาในการขจัดพิษนานเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- การดื่มน้ำผักน้ำผลไม้ปริมาณมาก ๆ อาจจะทำให้ถ่ายท้องมากเกินไป
- ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป จะไปทำร้ายไตได้ นอกจากนี้ยังไปช่วย
กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นไปอีก
- อย่าวิตกกังวลเกินเหตุว่า ร่างกายเราได้รับพิษอันมหาศาล หรือเคร่งเครียด เอา
เป็นเอาตายกับการขจัดพิษมากเกินไป เพราะแทนที่ผลออกมาจะสบาย กลับ
ให้ผลตรงกันข้าม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนซีเรียส ท่องไว้เบา ๆ ว่า..."อย่าซีเรียส"
****ถ้าสามารถจัดสรรเวลาให้ตัวเองอยู่ในกระบวนการขจัดพิษใน 1 เดือน แล้ว
จะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวหนังสะอาดขึ้น ดวงตาสดใส ท้องผูกน้อยลง น้ำหนัก
ลด อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดระดับความวิตกกังวลไปได้ดีทีเดียว
❀5 วิธียืดตัว...ให้ตัวสูง
1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที
(เช้า - เย็น) ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมาก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด)
ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน
2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวอุดมไปด้วย
แคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น และยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้น
หรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่
ต้องการสูงขึ้น
3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืน และนอนให้เพียง
พอ (เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)
4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่
5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม บุหรี่ เพราะมีโอ
กาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน
ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้ว่า
คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร(แต่ต้องทำทุกวัน)
(เช้า - เย็น) ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมาก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด)
ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน
2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวอุดมไปด้วย
แคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น และยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้น
หรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่
ต้องการสูงขึ้น
3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืน และนอนให้เพียง
พอ (เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)
4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่
5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม บุหรี่ เพราะมีโอ
กาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน
ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้ว่า
คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร(แต่ต้องทำทุกวัน)
❀9 วิธีง่าย ๆ แก้ไข ท้องผูก❀
1. ดื่มน้ำเมล็ดแมงลักแช่น้ำ โดยใช้เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่น้ำให้พองเต็ม
ที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว ( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม
2. กินมะละกอสุกประมาณ 1/4 ลูก
3. ดื่มน้ำอุ่น 3–4 แก้ว ( 750–1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอน
และควรดื่มภายใน 10–15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืน เพื่อไม่ให้รู้สึกจุก หรือดื่ม
ตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจาก
มีปริมาณน้ำตาลสูง
5. ดื่มน้ำมะขามเปียกเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ดูปริมาณที่เหมาะสมกับตนเอง
6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย
7. หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20–30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงาน
ได้ดีขึ้น
8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวด วนตาม
แนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำ เพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบ
ส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่าย
ได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าเป็นชักโครก เวลานั่งให้
หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น

ที่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว ( 250 ซีซี ) แล้วดื่ม
2. กินมะละกอสุกประมาณ 1/4 ลูก
3. ดื่มน้ำอุ่น 3–4 แก้ว ( 750–1,000 ซีซี ) ขณะท้องว่าง หรือเพิ่งลุกจากที่นอน
และควรดื่มภายใน 10–15 นาที ทั้งนี้ควรดื่มในขณะยืน เพื่อไม่ให้รู้สึกจุก หรือดื่ม
ตอนเดินไปมาเพื่อให้ลำไส้ขยับตัว
4. รับประทานลูกพรุนแห้งก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรกินมากและบ่อยเนื่องจาก
มีปริมาณน้ำตาลสูง
5. ดื่มน้ำมะขามเปียกเข้มข้น ประมาณ 1 แก้ว ดูปริมาณที่เหมาะสมกับตนเอง
6. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ควรกลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย
7. หมั่นเดินออกกำลังกาย ประมาณ 20–30 นาที จะช่วยให้ระบบลำไส้ทำงาน
ได้ดีขึ้น
8. ลองนวดบริเวณลำไส้ใหญ่ โดยนวดที่บริเวณใต้สะดือใช้มือนวด วนตาม
แนวลำไส้ใหญ่ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทำสักพักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
9. เปลี่ยนท่านั่งในการเข้าห้องน้ำ เพื่อให้ขับถ่ายดีขึ้น โดยให้นั่งยอง ๆ แบบ
ส้วมหลุม เนื่องจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่าย
ได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าเป็นชักโครก เวลานั่งให้
หากล่องหรือถังขยะมาวางเท้า เพื่อให้เข่ายกสูงขึ้น
❀การลดเลือนริ้วรอย ที่สาวๆ อาจจะคาดไม่ถึง ❀
นอนหงาย
การนอนในท่าใดท่าหนึ่งเพียงท่าเดียวทุกๆ คืนจะทำให้หน้ายับ ก่อนจะกลาย
เป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนผิวหน้า และไม่เลือนหายไปแม้ว่าคุณจะลุกขึ้นมาแล้วก็
ตาม โดยการนอนตะแคงข้างจะเพิ่มริ้วรอยที่แก้มและคาง ขณะที่การนอนคว่ำจะ
ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผาก ฉะนั้นเพื่อลดการก่อตัวของริ้วรอย ควรเปลี่ยนมา
เปลี่ยนมานอนหงายแทน แม้ว่าอาจจะไม่ชินในช่วงแรก และเผลอพลิกไปนอนใน
ท่าที่เคยชินตอนหลับไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านอนตะแคง หรือนอนคว่ำอย่างเดียว
โดยไม่เปลี่ยนท่าเลยตลอดคืน
รับประทานปลามากขึ้น
แนะนำให้ทานปลาแซลมอน เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี และยังอุดมไปด้วย
วิตามินที่ดีต่อผิว เพราะว่ามีส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นคือ กรดไขมันโอ
เมก้า-3 ซึ่งทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เด้งดึ๋ง และดูอ่อนเยาว์ รวมถึงช่วยลดเลือน
ริ้วรอยด้วย หรือจะทานปลาสวาย ราคาไม่แพง แต่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -3
ไม่แพ้ปลาชนิดอื่น
เลิกหยีตา-หาแว่นมาใส่ด่วน
การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำๆ เช่นการหยีตา จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า
ต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้เกิดร่องลึกที่ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นริ้ว
รอยถาวร ฉะนั้นทำตาโตๆ กันเข้าไว้ โดยการใส่แว่นสำหรับอ่านหนังสือ (ถ้าจำเป็น
ต้องใช้ เพราะสายตาสั้น) รวมถึงควรใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังรอบๆ ดวง
ตาไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย และเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องหยีตาหลบแดดอีกด้วย
ผิวสวยด้วยกรดผลไม้
เพราะกรดผลไม้ช่วยลอกเซลล์ของชั้นผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป จึง
ช่วยลดเลือนริ้วรอยจางๆ และลึกๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยรอบๆ ดวงตา โดย
กรดผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นโกโก้
โกโก้มีสาร 2 ชนิด คือ เอพิคาเตซิน และคาเตซิน ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการ
ทำร้ายของแสงแดดทำให้การหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้นช่วย
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียนมากขึ้น
อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป
น้ำประปาจะรบกวนน้ำมันที่ผิวหนังสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องผิว
ไม่ให้เกิดริ้วรอย ดังนั้นการล้างหน้าบ่อยๆ จะล้างสิ่งที่ปกป้องผิวหนังออกไป ควร
เลือกสบู่ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปกป้องผิว หรือคลีนเซอร์แทน
ใช้วิตามินซีชนิดทา
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tulane และผลการศึกษาจากที่อื่นพบว่า วิตามิน
ซีสมารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีเอและยูวี
บี ทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอลดลง รวมถึงทำให้ภาวะผิวหนังอักเสบมีอาการดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิตามินซีที่ใช้ด้วย ปัจจุบันพบว่า กรดแอล-เอสคอร์บิก สามารถลด
ริ้วรอยได้มากที่สุด
กินถั่วเหลืองมากขึ้น
ถั่วเหลืองช่วยปกป้องหรือเยียวยาผิวที่ถูกแสงแดดทำร้ายได้ อาหารเสริมที่มีถั่ว
เหลืองเป็นส่วนประกอบพื้นฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิตามินต่างๆ โปรตีนจากปลา และสาร
สกัดจากชาขาว เมล็ดองุ่น และมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบด้วย ช่วยทำให้โครงสร้าง
ของผิวดีขึ้นภายใน 6 เดือน
ดูแลผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ควรเริ่มต้นการดูแลอย่างถูกต้อง ด้วยวิธี
ที่คุณอาจจะเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยทำเลย ดังนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด
- ทาครีมกันแดด
- ไม่สูบบุหรี่
- บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
❀มือใหม่หัดเขียน (คิ้ว)❀
สำหรับวิธีเขียนแบบดินสอ เริ่มจากเลือกสีดินสอที่อ่อนกว่าสีผม 1 ระดับ สีดำเดี๋ยว
นี้ก็มีดำหลายระดับ เลือกสีไม่เข้มมากจะปลอดภัยที่สุด
สำหรับการเขียน ให้เริ่มเขียนจากกึ่งกลางคิ้วก่อน เพราะส่วนที่เข้มที่สุดของคิ้วจะ
เป็นส่วนหาง ให้สาวๆค่อยระบายตามรูปคิ้วของเราไปเรื่อย ๆ ให้หางเรียวแหลมไป
เรื่อย ๆ และวาดออกมาจากหางคิ้วเดิมเล็กน้อย โดยวัดจากให้ดินสอวางไปบนใบ
หน้าให้มุมปาก- หางตาอยู่ในเส้นเดียวกัน แล้วเราจะได้จุดที่ต้องวาดคิ้วให้ยาวออก
มา จนถึงจุดที่อยู่ในแนวเดียวกับมุมปากและหางตา ส่วนหัวคิ้ว ให้วาดอย่างเบา
มือไปตามรูปคิ้ว โดยควรให้ระยะห่างระหว่างคิ้วซ้ายและขวา พอดีกับสันจมูกไม่
ชิดและไม่ห่างมากกว่าหัวตาและที่สำคัญ ต้องดูให้คิ้วทั้งสองข้าง มีรูปทรงที่เหมือน
กันและอยู่ในระดับเดียวกัน
ไข้ร่วมด้วย
นี้ก็มีดำหลายระดับ เลือกสีไม่เข้มมากจะปลอดภัยที่สุด
สำหรับการเขียน ให้เริ่มเขียนจากกึ่งกลางคิ้วก่อน เพราะส่วนที่เข้มที่สุดของคิ้วจะ
เป็นส่วนหาง ให้สาวๆค่อยระบายตามรูปคิ้วของเราไปเรื่อย ๆ ให้หางเรียวแหลมไป
เรื่อย ๆ และวาดออกมาจากหางคิ้วเดิมเล็กน้อย โดยวัดจากให้ดินสอวางไปบนใบ
หน้าให้มุมปาก- หางตาอยู่ในเส้นเดียวกัน แล้วเราจะได้จุดที่ต้องวาดคิ้วให้ยาวออก
มา จนถึงจุดที่อยู่ในแนวเดียวกับมุมปากและหางตา ส่วนหัวคิ้ว ให้วาดอย่างเบา
มือไปตามรูปคิ้ว โดยควรให้ระยะห่างระหว่างคิ้วซ้ายและขวา พอดีกับสันจมูกไม่
ชิดและไม่ห่างมากกว่าหัวตาและที่สำคัญ ต้องดูให้คิ้วทั้งสองข้าง มีรูปทรงที่เหมือน
กันและอยู่ในระดับเดียวกัน
ไข้ร่วมด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น